Monday, July 14, 2008

Destination Luang Prabang Day 3

12 กรกฎาคม 2551 วันสุดท้ายของทริปหลวงพระบาง

เราแหวกม่านขี้ตากันขึ้นมาตั้งแต่ตี 4.30...เพื่อไปตักบาตรข้าวเหนียว มาถึงหลวงพระบางไม่ได้ตักบาตรข้าวเหนียวจะได้ไง...พระ เณรที่หลวงพระบางจะออกบิณฑบาตรเป็นเวลาเดียวกัน (นัดกันมา...ว่างั้น...แบบนี้เค้าเรียกนินทาพระรึเปล่าเนี่ยเรา) ถนนที่เราไปตักบาตรมีพระ 12 วัดเดินผ่าน ชาวบ้านจะตักบาตรด้วยข้าวเหนียว (มีขนมบ้างเล็กน้อย แต่เรามีแต่ข้าวเหนียว) ส่วนกับข้าวพวกชาวบ้าน (ที่ตื่นสายกว่าเรา หุ หุ หุ) จะนำไปถวายที่วัดภายหลัง

พระ เณรบิณฑบาตรเหมือนกับเกรงว่าญาติโยมที่ปลายทางจะรอนาน....เดินกันปานจรวด หากเราหยิบข้าวเหนียวช้า...ก็จะเดินเลยไปเหมือนไม่ใส่ใจเรา รูปนี้ตอนไปถึงสถานที่รอใส่บาตร ยังไม่สว่างดี โฮมมี่ brief พลพรรคตักบาตรว่าจะต้องทำไงบ้าง เช่น พระจะมาจากทางไหน ควรหยิบข้าวเหนียวก้อนนึงประมาณพอดีคำ หยิบตรงริมๆ ก่อน เพราะตรงกลางมันจะร้อนนนนน และควรเหลือข้าวเหนียวไว้ 1 คำ เพื่อนำไปทำทานด้วยได้รับการ brief เสร็จ ท่าน "สอวอ" ทั้ง 2 รายได้รับอภิสิทธิ์นั่งเก้าอี้ใส่บาตร ตอนแรกม่าว่าจะไม่นั่ง แต่พอได้รับคำขู่ว่านาน (นะยะ) ก็ยอมนั่ง ส่วนธีร์นั่งจับเท้ารอ...ก่อนจะไปจกข้าวเหนียวใส่บาตร (เวร! เพิ่งเห็นนะเนี่ย ใส่บาตรไปแล้ว) โฮมมี่เล่าว่าทริปก่อนๆ มีเด็กมาใส่บาตรข้าวเหนียว ใส่ไปใส่มาข้าวเหนียวติดมือ พ่อแม่ก็ควักข้าวเหนียวใส่บาตรมือเป็นระวิงไม่ได้ดูลูก ปรากฎว่าหนุ่มหรือสาวน้อยรายนั้นก็ไม่รู้ได้ ก็เลียข้าวเหนียวที่ติดมือไปพลาง และใช้มือข้างเดียวกันนั้นจกข้าวเหนียวใส่บาตรไปด้วย....วันนั้นข้าวเหนียวในบาตรพระคงหวานหอมเป็นพิเศษ
รูปหมู่ระหว่างรอพระ ดีนะที่รูปไกลหน่อย ไม่เห็นตาบวมๆ ของพวกเรา
ในมือธีร์ถือของพิเศษที่เจ้าตัวเตรียมจะใส่บาตรพระ...สาหร่ายเถ้าแก่น้อยนั่นเอง
ส่วนนี่ก็รูปรวมๆ
และแล้วการใส่บาตรข้าวเหนียวก็ผ่านพ้นไปด้วยดี ธีร์ที่บอกว่าจะกินข้าวเหนียวบ้างตั้งแต่อยู่ในรถก็ไม่ได้กระทำการอันอาจหาญเพียงนั้นแต่อย่างใด คงเพราะเชื่อที่หม่าม้าบอก และด้วยประสบการณ์การไปวัดแต่เดิม ที่ว่าเราจะกินอาหารก่อนพระไม่ได้ ต้องรอให้หลวงปู่ฉันก่อน เราถึงจะกินได้ (ดีมากลูก) ธีร์ใส่ข้าวเหนียวลงบาตรทันบ้างไม่ทันบ้าง พระ/เณรบางรูปเห็นเป็นเด็กเล็กเลยผ่อนรอให้เล็กน้อย บางรูปก็เลยไป นางสนองพระโอษฐ์ซ้ายขวาของธีร์หลังจากใส่ของตัวเองเสร็จก็ช่วยกันหยิบข้าวเหนียวใส่มือธีร์ให้ได้ใส่บาตรอย่างเต็มที่ บางทีรีบไปหน่อย ธีร์จะบ่นว่า "ข้าวเหนียวร้อนนนน"

หลังจากใส่บาตร ทำบุญเสร็จ เราก็เหลือข้าวเหนียวก้อนเล็กๆ มาวางไว้บนกำแพงวัด เป็นการทำทานให้กับนก มด สัตว์อื่นๆ จบการตักบาตร เค้าก็จะพาเราไปเดินชมตลาดท่าเรือเม เป็นตลาดเช้า ขายของสด นี่รูประหว่างทางไปตลาด มีบ้านนึงตรงรั้วปลูกข้าวไว้ทำเป็นรั้วด้วย เก๋มาก...อี๊บีมีรูปเป็นหลักฐาน
ขึ้นชื่อว่าตลาดสด ของที่ขายก็ต้องสด...เป็นธรรมดา มีผัก ผลไม้ ปลา (ที่ยังว่ายน้ำอยู่) ไก่ที่ยังมีชีวิตแต่วิ่งไม่ได้เนื่องจากถูกผูกขากองไว้ เฝอ ขนมเส้น ฯลฯ สารพัด....ว่าไปโน่น จริงๆ แล้วรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง จารนัยไม่หมด ผักอย่างต้นหอมเค้าจะมัดรวมกันด้วยเส้นตอก ไม่ได้ใช้หนังสติ๊ก ของก็วางหายกันตามพื้นนี่แหละ ง่ายดี มีผ้าพลาสติกหรือใบตองรองไว้พองาม

รูปด้านขวาตรงกลาง เป็นยายขายขนมหน้าตาเหมือนขนมไช้เท้าทอด น้ำมันดำขนาด...สงสัยใช้มาตั้งแต่ยายยังสาว ส่วนขวาล่างชายหนุ่มคนนี้เค้าขายขนมครก ขนมครกแบบโคลสอัพ หน้าตาแบบนี้ เราซื้อชิมที่ตลาดมืดตอนกลางคืนวันแรก 3 คู่ 1,000 กีบ (5 บาท) ซื้อเสร็จจะจ่ายเงินเป็นเหรียญ 5 บาท คนขายบอกไม่รับเหรียญ ให้จ่ายแบงก์ 20 มา จะทอนให้ตอนแรกทอน 3,000 กีบ หม่าม้ากะอี๊บียืนงงๆ อยู่ว่ามันเท่ากับเท่าไหร่ ทอนถูกรึเปล่าหว่า คนขายเห็นยืนค้างอยู่เลยคุ้ยเงินยื่นมาให้อีกพันเป็น 4,000 กีบ ไม่รู้ใครงง ใครไม่งง หรืองงกันทั้งคู่ 555

เราได้ขนมครกมา 3 คู่ ธีร์ถือเองไม่ยอมวาง กินแล้วอร่อยดี ขนมครกทำจากข้าวเหนียว เหนียวๆ หวานๆ มันๆ เหมือนกินขนมเข่งทอด วันถัดมาเหลือเงิน 4,000 กีบ ธีร์ร่ำร้องจะกินขนมครกอีก อี๊บีไปซื้อ คราวนี้แม่ค้าบอกว่า 5 คู่ 2,000 กีบ....ขึ้นราคาซะงั้น (สงสัยคิดว่าเมื่อวานขาดทุน) อี๊บีอุตส่าห์ยืนรอแม่ค้าผลิตสดใหม่จากเตาเพื่อนำไปสังเวยเด็กชายธีร์ ฝนก็ตก...พอเอากลับไปกินที่โรงแรม หม่าม้าอุตส่าห์โฆษณาซะดิบดีว่าอร่อย แต่ผิดคาด คราวนี้ไม่อร่อย มีแต่แป้งไม่มีกะทิเท่าไหร่ นอกจากขึ้นราคาแล้วยังลดคุณภาพซะอีกแน่ะ....แย่จัง
นี่ก็แม่ค้าขายขนมเส้น เฝอ ถั่วงอก น้ำอัดลม (ที่ขวดเขียนภาษาลาวด้วยนา) ส่วนซ้ายล่างสุดเป็นรถคล้ายๆ ตุ๊ก ตุ๊ก แต่ที่นั่งเป็นเหมือนรถสองแถว ที่ลาวเรียกรถประเภทนี้ว่า "สกายแล๊ป"
แล้วเราก็ถึงจุดหมาย ร้านกาแฟประชานิยม จริงๆ ต้องบอกว่าเป็นร้านกาแฟประชา (ชนคนไทย) นิยมซะมากกว่า ที่ร้านมีสมุดเซ็นชื่อด้วยนะ เท่าที่อ่านมาจากในเว็บ...ทั้งคนเซ็นคนนั่งกินก็คนไทยทั้งนั้นแหละ ไม่เห็นมีคนลาวเลยนอกจากแม่ค้า ราคาเครื่องดื่มร้อนแก้วละ 12 บาท เย็นไม่รู้ เพราะไม่ได้กิน (เค้าว่าที่หลวงพระบางไม่มีโรงน้ำแข็ง มีแต่ร้านที่ทำน้ำแข็งตามบ้าน มีไม่พอขายด้วย) ปาท่องโก๋ตัวละ 5 บาท ปาท่องโก๋แพงซะงั้น ร้านนี้ดีตรงที่จ่ายเงินแล้วมีเหรียญเงินบาททอน และลดราคาค่าเสียหายให้ 1 บาท 555

รูปข้างซ้ายบนที่กองๆ เป็นพะเนินนั่น คือขนมปังฝรั่งเศส...บาแก๊ต ที่หม่าม้าหมายมั่นปั้นมือว่าจะชิมซักกะหน่อย อ่านในเว็บมาเห็นว่าอร่อยนักหนา ตอนไปซื้อถามว่าเนื้อที่ใส่ตรงกลาง ทำกลมๆ เหมือนเนื้อใส่เบอร์เกอร์เป็นเนื้ออะไร...ได้รับคำตอบมาว่า หมูผสมเนื้อ อดกินซะงั้น เห็นว่าเวลาทำจริงๆ เค้าจะใส่ไส้เป็นพวกตับบด ส้มตำ หม่าม้าสั่งไส้นมข้นหวานมาชิม ตอนแรกกะจะเอาไส้แยม แต่เห็นสภาพขวดแยมแล้วไม่เอาดีกว่า (กลัวตาย)...ผิดหวังอย่างแรง แข็งก็แข็ง เหนียวก็เหนียว ชืดๆ เค้าถูกหลอกกกกกกก

ส่วนขวาล่าง ที่กงกินอยู่คือเฝอหมู กงกินแล้วว่าอร่อยดี อี๊บีสั่งมาอีกชาม หม่าม้าแอบชิมแล้วน้ำซุปเค็มไปหน่อย แต่ก็กลมกล่อมดี ส่วนธีร์กำลังแทะเล็มโอวัลตินอยู่
กลับโรงแรม อาบน้ำ (เลยรู้เลยว่าไปตักบาตรไม่อาบน้ำ แปรงฟันล้างหน้าไปอย่างเดียว กง ม่า อี๊บีเค้าพร้อม อาบน้ำเสร็จไปก่อนแล้ว) กินอาหารเช้า วันนี้ที่ห้องอาหารของโรงแรมคนพลุกพล่าน คนไทยทั้งนั้น สรุปว่าหลวงพระบางจะคึกคักไปด้วยคนไทยทุกวันศุกร์-อาทิตย์

เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมแล้วเราก็ไปพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง แต่เดิมเป็นวังของเจ้ามหาชีวิตมาก่อน พอเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 1975 ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ ข้างในประกอบด้วยโรงละคร วัดที่สร้างมา 17 ปียังไม่แล้วเสร็จ (ขวากลาง และซ้ายบน) โฮมมี่บอกว่าเสร็จแล้วจะเป็นที่ประดิษฐานพระบาง พระคู่บ้านคู่เมืองของหลวงพระบาง และซ้ายล่างก็คือส่วนที่เป็นวังเก่า ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปข้างใน

ในวังก็จะมีท้องพระโรงที่ใช้รับแขกบ้านแขกเมือง หอฟังธรรมพร้อมธรรมาสน์ ห้องบรรทมของเจ้ามหาชีวิต เครื่องใช้ ฯลฯ
รูปหมู่ก่อนเข้าไปดูวัง
พระพี่เลี้ยงชื่นชมพฤติกรรมการเดินทางของธีร์มากถึงขนาดช่วยส่งเสริมทางด้านหลังเป็นอย่างดี
ปั๊มน้ำมันในวัง...บอกว่าใช้จนถึงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หัวจ่ายสองหัวนี้เขียนภาษาไทยชัดเจน อิมพอร์ตมาจากไหนหนอ...
ธีร์ง่วงมากเนื่องจากตื่นแต่เช้ามืด หลังจากวุ่นวายๆ ให้อุ้มบ้าง วิ่งเองบ้าง ท้ายสุดหม่าม้าอุ้มฟังโฮมมี่บรรยายเรื่องโน้นเรื่องนี้ ธีร์เอื้อมมือไปคว้าฝรั่งที่แต่งตัวคล้ายๆ อี๊บี หัวหยอยๆ เป็นผู้ชาย คว้าแล้วพอรู้ว่าไม่ใช่อี๊บีซึ่งเป็นเป้าหมายหลัก ธีร์ถึงกับตกใจจนสลบไป.....น่าเสียดาย ไม่มีรูป 555

ชมพิพิธภัณฑ์เสร็จ เราก็เดินทางไปหมู่บ้านผาโนม และร้านขายเครื่องเงิน ซื้อของส่งท้ายเล็กๆ น้อยๆ ก่อนไปกินอาหารเที่ยง และไปสนามบิน เนื่องจากทำเวลากันได้ดีมาก ไปถึงสนามบินตอนเที่ยง....เครื่องบินออกบ่ายสามโมงครึ่ง....นี่เราทำอะไรลงไปเนี่ยยยยย

ระหว่างรอเช็คอิน ป๊าเหลือบไปเห็นตาชั่ง เครื่องวัดขนาดกระเป๋าอันนี้เข้า ถ้าเป็นที่เมืองไทยคงถูกดูถูกเหยียดหยาม แต่นี่เป็นลาว....ดูช่างเรียบง่ายและน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน 555
รอแล้วรออีกจนเจ้าหน้าที่ของบางกอกแอร์เวยส์สงสาร จัดการเช็คอินให้ก่อน เลือกที่นั่งให้ไม่หลังมากเท่าไหร่ บอกว่าวันนี้ไฟลท์ไม่เต็ม มีแค่ 40 กว่าคน เครื่องบินทั้งขาไปขากลับเป็นเครื่องบินใบพัด ทั้งลำน่าจะบรรจุผู้โดยสารได้ซัก 80 คนเต็มที่ จากนั้นเค้าก็ถีบส่งให้เข้าไปนั่งรอในห้องผู้โดยสารขาออก (ที่ไม่มีอะไรเลย นอกจากห้องน้ำ หนังสือพิมพ์ภาษาลาวที่ลงวันที่ 20 กว่าๆ เดือนมิถุนายน และทีวีที่ไม่ได้เปิดอีกหนึ่งเครื่อง!!!) รู้งี้นั่งรอข้างนอกดีกว่า อย่างน้อยก็ยังมี bangkok airways boutique lounge ด้วย (ข้างในมีขนมให้กินด้วยนะ ฮึ!!!)

ธีร์กับพาสปอร์ตที่ยืนยันจะต้องถือเอง ยื่นเอง กลัวไม่ได้กลับบ้านรึไง
นั่งรอ นอนรอ อุ้มรอและเล่นรอ เครื่องบินในที่สุด บ่ายสองโมงครึ่ง เครื่องบินก็มาถึง (ไชโย ไชโย...อยู่ในใจ)
ภาพถ่ายทางอากาศของหลวงพระบาง บ๊ายบายจ้าหลวงพระบางเมืองริมโขง
เครื่องบินขึ้นไปได้ไม่เท่าไหร่ ธีร์ที่ประกาศกร้าวว่า "ธีร์ไม่น๊อน ธีร์ไม่นอน" ก็หลับไปอย่างสงบเสงี่ยม ปล่อยให้หม่าม้าได้ลิ้มรสอาหารว่าง (สลัดผักน้ำไงเล่า) อย่างเอร็ดอร่อย ไม่น่าบอกเค้าเล้ยยย ว่าเอาแค่ชุดเดียว ยังคงเสียดายอยู่ถึงตอนนี้ (ตะกละมาก)
กลับมาถึงสุวรรณภูมิแล้ว ธีร์ก็ยังไม่ยอมตื่น ระหว่างทางเดินทำชิ้นส่วนหล่นเป็นระยะ ไม่ว่าจะเป็นผ้าอ้อมเอย รองเท้าเอย มีคนเก็บมาส่งเป็นระยะๆ อีกเช่นกัน ว่าแล้วก็ถ่ายรูปกับยักษ์ซะหน่อยซิธีร์
แล้วก็จบการเดินทางไปหลวงพระบางแต่เพียงเท่านี้
ก่อนจากไปจริงๆ สิ่งต่างๆ ที่เขียนๆ มา 3 วันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของหม่าม้าแต่เพียงผู้เดียว อาจจะมีผิดพลาดบ้าง อย่าถือเป็นจริงจัง อ่านเอาสนุกกันแค่นั้นพอนะจ๊ะพี่น้อง

โดยส่วนตั๊ว ส่วนตัว หม่าม้าว่าหลวงพระบางก็คล้ายๆ เมืองเหนือของไทยนี่แหละ หลายคนบอกว่าผู้คนเค้าน่ารัก เป็นมิตร แหะ แหะ อันนี้ตอบไม่ได้ เพราะว่าคนลาวที่ได้คุยก็โฮมมี่คนเดียว พื้นเพก็เป็นคนเวียงจันทน์ไปซะงั้น แต่ก็อย่างที่เคยบอก เค้าชอบเมืองมรดกโลก เพราะทำให้หลวงพระบางกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีงานทำ มีรายได้กัน ส่วนที่ไม่ชอบก็คงมี แต่ทำอะไรไม่ได้ สงสัยกลัวโดนจับไปอยู่รีสอร์ตริมโขง (นี่เราจะโดนจับไปอยู่ที่นั่นฐานวิพากษ์วิจารณ์รึเปล่าเนี่ย)

ว่าแล้วก็ชิ่ง ชะแว้บจบกันตรงนี้ดีกว่า ถ้าอาทิตย์หน้ายังไม่อัพบล๊อกแสดงว่าไปพักรีสอร์ตแล้น 555

3 comments:

Anonymous said...

วันนี้ไม่เม้นต์ แวะมาอ่านเฉยๆ :P

Anonymous said...

ละเอียดลออและสนุกมากค่ะ เห็นแล้วอยากไปเที่ยวบ้าง ท่านอนน้องธีร์ขาไปและขากลับเหมือนกันเลยเนาะ...

คุณแม่น้องปัญญ์ said...

น้องธีร์ครับ ปลาร้าของป้าอยู่ไหนครับ หรือว่าทำไหปลาร้าแตกระหว่างทางครับ

ปล.รูปน้องธีร์หล่อทุกรูปเลยครับ