ภาพเก็บตกเพิ่มเติมจากการท่องเที่ยววันแรก อี๊บีเพิ่งส่งมาให้ ด้านล่างนี่คือพระธาตุพูสี....ตัวพระธาตุมีเท่านี้จริงๆ อยู่บนยอดภูเขา หอบแฮ่ก เอ้ย! เดินตั้งนาน....เอ้า! กราบกันเป็นศิริมงคลเด้อ...
ขอสารภาพความเลวส่วนตัว... ขาลงจากพูสี เจอฝรั่งกำลังเดินขึ้น เดินได้ระยะทางเท่าที่ธีร์เดินก็หอบแฮ่กๆ แล้ว หม่าม้าสงสาร...บอกเค้าไปว่า "This is not even half way!" ความปากมอมส่วนตัวนี้ไม่รู้จะเป็นการให้กำลังใจหรือตัดกำลังใจเค้ากันแน่นะ....ปกติที่หม่าม้าเคยเจอ ผู้คนมักจะบอกหม่าม้าว่าใกล้จะถึงแล้ว....ทั้งๆ ที่มันยังไม่ถึงครึ่งทางเลย หลอกตรูนี่หว่า
สภาพธีร์และม่าบนพูสี หัวธีร์ยุ่งเล็กน้อยจากการขี่ม้าอี๊บีขึ้นมา ส่วนม่ายังคงสวยใสเหมือนเดิมค้าบ 555
ส่วนนี่...สภาพที่แท้จริงของป๊าและหม่าม้ากับแม่น้ำ (โขงหรือคานหว่า) ป๊าจะเป็นลม โบกพัดหยอยๆ ส่วนหม่าม้ายังพอฉีกยิ้มได้ แปลว่ายังเหลือพลังอยู่บ้าง หุ หุ หุ
11 กรกฎาคม 2551 เริ่มต้นชีวิตในหลวงพระบางวันที่ 2 กันด้วยอาหารเช้าในห้องอาหารของโรงแรม ริมแม่น้ำโขง ธีร์ผู้ซึ่งล่วงหน้ามากับอี๊บีและ กง ม่าก็แทะเล็มอาหารอเมริกันเบรคฟาสต์ไปอย่างละเล็กละน้อย พอได้ลิ้มรสว่าอะไรเป็นอะไร และถ่ายรูปกับแม่น้ำโขง และต้นมะละกอระดับ 5 ดาวไว้เป็นที่ระลึก (ต้นไม้ด้านขวาของรูปนั่นแหละ) ส่วนหม่าม้าก็ทำหน้าที่แม่ที่ดี กินอาหารเช้าตุ้ยๆ แบบละเลยลูกเต็มที่ เก็บแรงไว้ไปเที่ยว!!! ส่วนป๊าก็ทำหน้าที่ตากล้องถ่ายรูปอย่างขยันขันแข็ง
กินอาหารเช้าเสร็จ ธีร์ก็ไปชมสวนเก็บดอกจำปาลาว (ดอกลั่นทม/ลีลาวดี) มาฝากหม่าม้าให้ชื่นใจ
เก็บมาแล้วลูกชายที่น่ารักก็เอาดอกไม้ทัดหูเล่นแบบนี้....
และแบบนี้
หลังจากลั๊นลันลาทัดดอกไม้กันเรียบร้อย เราก็เดินทางด้วยรถส่วนตัวพร้อมพลขับ ไปหน้าวัดเชียงทองอีกที คราวนี้ไปขึ้นเรือล่องแม่น้ำโขง ดูวิวริมฝั่งโขง และไปถ้ำติ่ง กับหมู่บ้านซ่างไห่ (ไม่ใช่ shanghai...แต่เป็นหมู่บ้านช่าง(ปั้น)ไหออกเสียงด้วยสำเนียงลาว)
ส่วนสมธีร์น่ะเหรอ....มีที่นั่งเป็นของตัวเองพร้อมกับชูชีพที่ตอนแรกใส่ไม่ยอมถอด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเป็นของแปลกหรือว่ากลัวจมน้ำ....นั่งเรือด้วยหน้าตาจริงจังเป็นอย่างยิ่ง
โฮมมี่เล่าว่าที่ดินริมแม่น้ำโขงในหลวงพระบางตอนนี้ราคาแพงขึ้นมาก ที่ดินในลาวขายกันเป็นตารางเมตร เมื่อก่อนแค่ไม่กี่ร้อยบาท เดี๋ยวนี้เป็นพันบาทแล้ว และส่วนใหญ่ก็ตกไปอยู่ในมือชาวต่างชาติเรียบร้อยแล้ว ซื้อในนามคนลาวอีกที ดังนั้น บ้านสวยๆ ริมโขงก็เป็นของฝรั่ง...
นั่งๆ เรือไป โฮมมี่ก็ชี้ให้ดูรีสอร์ตริมโขง...สำหรับคุมขังนักโทษ มีหอควบคุมไม่ให้นักโทษหนีด้วย คุกของหลวงพระบางนี่วิวดีนะเนี่ย...จะมีใครสนใจไปใช้บริการบ้างมั้ยค้าบ (เราไม่มีรูปให้ดู...ตากล้องไม่ทำงาน หรือว่าตากล้องอี๊บีมีรูปล่ะ)
เนื่องจากระยะเวลาการล่องแม่น้ำโขงของเรานานเหมือนกัน (ชั่วโมงครึ่งน่าจะได้กว่าจะถึงถ้ำติ่ง เพราะแล่นเรือทวนน้ำ) ธีร์ซึ่งหายกลัวแล้วก็วิ่งวุ่น พยายามจะนอนรึก็ไม่หลับ เลยหิวกลายเป็นลิงกินกล้วยแก้มตุ่ยแทนถ้ำติ่งเป็นถ้ำที่มีพระพุทธรูปเยอะมากๆ (รูปล่างด้านซ้ายมือคือถ้ำติ่ง ส่วนรูปล่าง มุมขวาบนเป็นพระพุทธรูปในถ้ำ) เจ้ามหาชีวิตสมัยก่อนก็เดินทางมาทางเรือ (ใช้เวลา 2 วัน) มาสรงน้ำพระ แล้วก็เอาพระพุทธรูปมาตั้งไว้ในถ้ำ ถือเป็นประเพณีปีละครั้ง เป็นการนำสิ่งที่ไม่ดีมาทิ้งไว้ที่ถ้ำติ่ง และนำสิ่งดีๆ กลับไปยังหลวงพระบาง ทุกวันนี้ก็ยังมีคนนิยมนำเอาพระพุทธรูปไปไว้ที่ถ้ำติ่ง โฮมมี่บอกว่าพระพุทธรูปที่ดูใหม่ๆ จะถูกเอาไปซ่อนไว้หลังๆ ก่อน พอดูเก่าๆ แล้วค่อยเอามาโชว์ไว้ด้านหน้า...เป็นกุศโลบายของยูเนสโก ผู้ควบคุมเมืองมรดกโลกอีกเช่นกัน (สงสัยกลัวจะไม่ขลัง)
ออกจากถ้ำ เราก็นั่งเรือตามน้ำไปยังหมู่บ้านซ่างไห (รูปขวากลางและล่าง) หมู่บ้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องทอผ้าไหม ผ้าฝ้าย แล้วก็เหล้าดอง...สิ่งที่เอามาดอง เช่น ตุ๊กแก งู ตะขาบ แมงป่อง ฯลฯ เหล้าขาวที่นี่ 55 ดีกรีเชียว เค้าว่าจุดไฟติด หม่าม้าไม่ได้เดินไปพิจารณาอย่างใกล้ชิดหรือขอชิมแต่ประการใด....มันน่ากลัวเกินไป (ประโยคนี้เป็นสำนวนของธีร์)ขากลับ เราก็ไม่ได้นั่งเรือกลับ รถมารับเราที่หมู่บ้านซ่างไห ทางขากลับเป็นดินลูกรัง...เนื่องจากยางมะตอยที่เคยปะหน้าถนนไว้มันหายหมดไปซะแล้ว (แปลว่าเคยมียางมาก่อน และสงสัยว่ารถคงวิ่งกันพลุกพล่านมาก หุ หุ หุ) ทางก็เลยขรุขระ โยกคลอนมากเป็นพิเศษ สองข้างทางก็มีการทำนา ปลูกผัก เป็นวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของบรรพบุรุษชาวลุ่มแม่น้ำแบบเรา
กลับมาถึงตัวเมือง เราก็ไปกินอาหารเที่ยงกัน ธีร์กินโจ๊กมาตั้งแต่ในรถ (โดยมีอาม่าเป็นหน่วนสนับสนุนเสบียงหลักอย่างเป็นทางการ โจ๊กกระป๋องรสชาดดีของโครงการสวนจิตรฯ นี่ก็หอบหิ้วกันไปด้วย กลัวหลานอดตาย) ก็กินโน่นนิดนี่หน่อยพอวุ่นวายแล้วก็ไปเดินเล่นกับอี๊บี...ร้านนี่นี้แหละที่ได้ชิมแกงอ่อมหลวงพระบาง บริกรในร้านเดินมาแนะนำว่าเต็มไปด้วยสมุนไพรนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น "สะค่าน" ยอดหวาย เห็ดหูหนู มะเขือ ฯลฯ เป็นมิตรอย่างมาก ส่วนหมูทอด...เหนียวชะมัด กงว่าเป็นหมูแก่ 555 เค้าบอกว่าหมูที่ขายกันที่นี่ไม่เหมือนเมืองไทย ที่ชำแหละเนื้อมาขายเป็นส่วนๆ หมูที่นี่ขายทั้งกระดูกเลยทีเดียว
ส่วนเวลาพนักงานจะเติมข้าวให้กงกับม่า เค้าจะถามว่า "คุณพ่อ/คุณแม่ รับข้าวอีกไหม" ถ้าขออะไรหรือถามอะไร เค้าก็จะแทนตัวเองว่า "น้อง" ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย ฟังดูน่ารักดีเนาะ
ร้านอาหารในลาวส่วนใหญ่ไม่มีคนลาวไปนั่งกิน เนื่องจากอาหารจะราคาแพง (ข้าวแกงจานละ 60 บาท เพราะน้ำมัน น้ำปลา เครื่องปรุงรสส่วนใหญ่จะอิมพอร์ตมาจากไทย) คนลาวจะทำกับข้าวกินเองที่บ้าน ยามว่างก็จะปลูกผักไว้กิน ไว้ขาย อีกเหตุผลก็คือรายได้ขั้นต่ำของคนจบปริญญาตรีประมาณ 3,000 กว่าบาท ค่าครองชีพกับรายได้ไม่ค่อยสัมพันธ์กัน...เลยไม่ค่อยมีคนลาวตามร้านอาหาร มีแต่ชาวต่างชาติ
รูปนี้ถ่ายมาจากระเบียงชั้น 2 ที่นั่งกินข้าวกัน
แล้วก็กลับมาขี่ช้าง ข้างกระติ๊บข้าวเหนียวรอคนอื่นๆ ตกบ่าย ตามกำหนดการเราจะต้องไปเที่ยวน้ำตกตาดกวงสีกัน แต่หม่าม้าเห็นว่าธีร์นอนน้อย แล้วก็ตื่นเช้ามาหลายวันแล้ว เลยขอตัว (พร้อมหัวเล็กๆ ของธีร์ หัวฟูๆ ของหม่าม้า) ของเรา 2 คนไปนอนพักผ่อนตามอัธยาศัยที่โรงแรมแทน นี่คือรูปน้ำตกตาดกวดสี ป๊ากลับมาบอกว่าน้ำตกสวยมากกกกกกกอี๊บีกลับมาบอกว่าทางไปไม่ลื่น เดินสบาย กงที่เข่าไม่ค่อยแข็งแรงก็ขอตัวรออยู่ด้านล่างๆ แทน ส่วนเสือที่เค้าเลี้ยงไว้แถวน้ำตก ได้เสียชีวิตไปซะแล้วเมื่อเดือนก่อน...เหลือแต่หมีควาย! และยังบอกอีกว่า...ไปไม่มีธีร์เรานั่งรถไปน้ำตกกันเงี๊ยบ เงียบ 555
อาม่า อี๊บี และลูกคนล่าสุดของม่าเค้าถ่ายรูปด้วยกันที่น้ำตก ไปน้ำตกกันแค่ 3 คน จะมีใครอีกได้ หุ หุ หุ (เอ่อ...เห็นว่าเค้ากำลังรับสมัครลูกคนใหม่อีก ใครจะรีบสมัครก็เร็วๆ หน่อยเดี๋ยวโควต้าหมด จะอดกัน คริ คริ คริ)เดินดูน้ำตก ถ่ายรูปกันเสร็จเรียบร้อย อีก 25 กิโลเมตรถึงหลวงพระบาง....อี๊บีถึงกับลิ้นห้อยเลยทีเดียวเชียว
ว่าแล้ว ม่าก็นำหน้า ตามด้วยโฮมมี่ อี๊บี และป๊าปิดท้ายก็เดินตามทางกลับไปหลวงพระบาง
ว่าแล้ว ม่าก็นำหน้า ตามด้วยโฮมมี่ อี๊บี และป๊าปิดท้ายก็เดินตามทางกลับไปหลวงพระบาง
กลับถึงโรงแรม ฝนก็ตกหนักพอดี ทุกคนก็เลยพักผ่อน...ป๊าไปเดินถ่ายรูป อี๊บีมีกงเป็นสปอนเซอร์ ได้นวดผ่อนคลาย (จริงๆ แล้วเพราะเค้าชาร์จรวมกับค่าห้องพัก 555) ส่วนกง กะม่าหลังจากเดินเล่น ดูทีวีแล้วไม่รู้จะทำอะไรดี เลยเดินมาปลุกให้ธีร์ตื่นไปเล่นด้วยกันซะงั้น...
กงแก้ตัวว่าไม่ได้ปลุก ธีร์ตื่นเอง หลังจากกงเดินเข้ามาในห้องและพูดเสียงปกติ (ซึ่งค่อนข้างดัง) ว่านอนหลับปุ๋ยเชียว 555 เราน่ะ มีหลักฐานตั้งแต่เริ่มเคาะประตูเลยนะจะบอกให้แล้วเราก็ไปกินอาหารเย็นกัน มื้อนี้อาหารเด็ดประจำมื้ออยู่ตรงหน้าอี๊บีกะม่า นั่นก็คือ สลัดผักน้ำ ผักน้ำเป็นผักขึ้นชื่อของหลวงพระบาง ทำสลัดแล้วอร่อยทีเดียว หม่าม้าได้ลองชิมรสจริงๆ บนเครื่องบินขากลับ (จนคิดว่าไม่น่าบอกแอร์ฯ เล้ยว่าเอาอาหารแค่ชุดเดียว ของธีร์ที่หลับอยู่ไม่เอา) จานนี้หม่าม้าได้กินตอนที่ป้อนข้าวธีร์เสร็จแล้ว ซึ่งก็แปลว่าสลัดมันเซ็ง สลดไปหมดแล้ว ก็เศร้าสิ (ก็เศร้าสินี่ก็สำนวนของธีร์อีกเช่นกัน)
จบวันด้วยการไปช้อปปิ้งเป็นการส่งท้ายที่ตลาดมืดของหลวงพระบาง เนื่องจากกลัวว่าพรุ่งนี้จะไม่ได้ซื้ออะไรแล้วหม่าม้าก็เลยซื้อของฝากเหมือนเป็นบ้า (จริงๆ ก็เป็นอยู่แล้วนี่นะ 555)
จบวันด้วยการไปช้อปปิ้งเป็นการส่งท้ายที่ตลาดมืดของหลวงพระบาง เนื่องจากกลัวว่าพรุ่งนี้จะไม่ได้ซื้ออะไรแล้วหม่าม้าก็เลยซื้อของฝากเหมือนเป็นบ้า (จริงๆ ก็เป็นอยู่แล้วนี่นะ 555)
ถึงโรงแรม ทุกคนก็เก็บข้าวเก็บของเตรียมตัวกลับบ้าน ซึ่งก็รวมถึงหนุ่มน้อยหน้าใสรายนี้ด้วย เก็บอยู่นาน มีแค่ถุงเท้า 1 คู่ รองเท้า 1 คู่ เอาใส่เข้าถุงแล้วก็เทออกมา ใส่เข้าไปใหม่ ทำอยู่หลายรอบ ก่อนจะไปแกล้งหลับ และเอนกายดูการ์ตูนก่อนนอนวันสุดท้ายเราจะไปตักบาตรข้าวเหนียวแล้วก็เดินดูตลาดเช้ากัน ตื่นแต่เช้ามากกกกก ข้อสังเกตเล็กน้อยก่อนไปตักบาตร...ตอนกลางวันจะไม่ค่อยเห็นพระ/เณรออกมาเดินตามถนนหนทางเท่าไหร่ ตอนค่ำๆ จะพอมีบ้าง โฮมมี่บอกว่ายูเนสโกมีกฎไม่ให้พระ/เณรออกมาตอนกลางวัน เพราะกลัวจะมีเรื่องชู้สาวเกิดขึ้น....ผู้หญิงชาวต่างชาติบางส่วนก็แต่งตัวไม่ค่อยมิดชิด
ก่อนจบเรื่องราวในวันนี้ไป...มีสิ่งนึงในทริปนี้หม่าม้าสนุกสนานมากคือ....การอ่านตัวหนังสือภาษาลาว ภาษาลาวกะภาษาไทยนี่คล้ายกันมากเหมือนกัน แต่ภาษาลาวมีตัวอักษรแค่ 26 ตัว บางครั้งก็อ่านออก บางครั้งก็อ่านไม่ออกเลย ป๊าเองก็เคยเปรยๆ ว่าเป็นเรื่องน่าตกใจเหมือนกันที่คนเราอยู่คนละประเทศ พูดกันคนละภาษา แต่ฟังกันเข้าใจเหมือนพูดภาษาเดียวกัน ลองอ่านป้ายพวกนี้กันดูสิ....อ่านกันออกไหมล่ะ
6 comments:
โฮ่ มีเวอร์ชั่นแพคของด้วยตัวเองด้วยเหรอ เจ่งจริง
ปล. แม่ฝากบอกว่า แม่กำลังรับสมัครหลานคนใหม่ด้วยเหมือนกัน แม่ยังบอกอีกว่า อันนี้ไม่มีโควต้า
เจี๊ยก~
ได้ข่าวว่านอกจากธีร์แล้ว ไม่มีใบสมัครเป็นหลานม่ามาเลยอ่ะ น่าสงสารม่าเนอะ หุ หุ หุ
ขยันจริงค่ะมารแม่ คราวนี้รูปถูกใจ รูปน้องธีร์กับดอกไม้แซมผมสวยหวาน บาดใจมาก
อ่านไปอมยิ้มไป แถมได้เกร้ดความรู้ต่างหาก ขอบคุณนะคะ
อ่านแล้วเหมือนยูเนสโกเป็นยิ่งกว่าเจ้ามหาชีวิตคนลาวคุมจัง... แล้วโฮมมี่เขาบอกมั้ยคะ ว่าคนลาวเขาไม่อึดอัดใจอะไรบ้างเหรอ
คนลาวก็ไม่ชอบครับ เคยมีคนประท้วง
น้องโฮมมี่บอกว่า ตำรวจลาวจับไปตามระเบียบ
เพราะรัฐบาลลาวสนับสนุนยูเนสโกเต็มที่
เลยไม่มีคนกล้าประท้วงอีก
ตอนนี้คนลาวเลยขายที่ให้ต่างชาติกันเพลิน
เหลือคนลาวจริงๆในตัวเมืองหลวงพระบางน้อยแล้ว
ย้ายไปอยู่ขอบๆเมืองกันแทน น่าเสียดายนะครับ
ก็สงสัยอยู่ ประเทศของตัวเองก็ไม่ใช่...
"มรดกโลก" นี่ก็ไม่รู้มรดกใครนะคะ ต่างชาติได้เข้าครอบครองที่ดินแบบนั้น... น่าเสียดายจริงๆ ค่ะ
เฮ้อ... ถอนใจ คอมเมนท์ผิดธีมมั้ยนี่
Post a Comment