Tuesday, July 22, 2008

เราทำอะไรกันบ้าง

เราไม่ได้ทำอะไร แล้วจะมาอัพบล๊อกันทำไม 555

มีรูปเด็กชุดลาวมาฝาก แฟชั่นชุดนี้ราคา 50 บาท แต่สีตกชะมัดยาด ขนาดแช่น้ำเกลือทิ้งไว้ตั้ง 2 วันแล้วยังสีตก ที่ซีดๆ นี่ไม่ใช่เก่า แต่สีมันคงตกจนไม่เหลือแล้วกระมัง หุ หุ หุ นายแบบโพสต์ท่ากินขนมปังทาแยมสุดโปรดพร้อมดู mickey mouse clubhouse...ธีร์ที่ไม่เคยยกมือไหว้ใครง่ายๆ สามารถยกมือไหว้มิกกี้เมาส์ตอนเริ่มรายการได้โดยไม่มีใครต้องบอก...สมัครใจว่างั้นเหอะ ไม่เข้าใจเลยเจรงๆ
ต่อไปเป็นรายการตัดผม หลังจากที่ตัดไปแหว่งๆ คราวที่แล้ว คราวนี้หม่าม้าพยายามอย่างเต็มที่ แต่ธีร์ไม่เต็มใจ ร้องโวยวาย ดิ้นรน เหมือนกับตอนเช้าจะไปอาบน้ำยังไงยังงั้น ร้องบ้านแทบแตก ทำเหมือนจะโดนจับไปเชือด สะอึกสะอื้นแทบตาย แค่ไปอาบน้ำแปงฟัน รักสะอาดเหลือเกิน คราวนี้หม่าม้าตัดแบบ (แทะ) เล็ม พร้อมล่อหลอกให้ดูการ์ตูนไปด้วย ป้องกันการดิ้นรน (กว่าจะล่อหลอกได้ เหนื่อยชะมัด) ฝีมือดีขึ้น 555 ไม่แหว่ง ไม่เต่อแล้วนะเออ
ตัดๆ อยู่ดีๆ ธีร์ก็เอามือจิ้มที่หน่มน๊มตัวเองแล้วก็บอกว่า "ธีร์มีนมด้วย" พร้อมทำเสียงกิ๊กกั๊ก....ชิ
ล่าสุดวันนี้ อยู่ดีๆ คุณผู้ชายก็วิ่งไปเอากล่องลูกบอลมาใส่หัววิ่งมาหาหม่าม้า จับถ่ายรูปไว้ซักหน่อย บอกว่าขอถ่ายรูปมนุษย์อวกาศหน่อย...พอรูปออกมาไม่ชัดขอถ่ายใหม่ มนุษย์อวกาศไม่ยอมแล้ว ขอตัวไปดูการ์ตูนเป็นการต่อไป (ไม่ได้พูดเอง แต่ขอสำนวนของเจ้าตัวเค้ามาใช้ล่ะ)
วันไหนจำไม่ได้แล้วเมื่ออาทิตย์ก่อน ธีร์ อี๊บี ม่า และหม่าม้าไปตลาดศาลายาซื้อของกินมายังชีพ ธีร์ก็ไปซื้อปลา ซื้อผัก ซื้อผลไม้ ขึ้นรถ ม่าก็ดำริว่าจะไปซื้อไอติม...ได้เลย ไปก็ไป พอซื้อไอติมกันเสร็จ ก็คุยกันว่ากลางวันจะซื้ออะไรไปกินกันดี ธีร์ผู้ที่นังฟังอยู่มานานก็พูดว่า "จะซื้ออะไรกันนักหนา"หนอยๆ แล้วอย่ามาขอกินด้วยนะยะ

Monday, July 14, 2008

Destination Luang Prabang Day 3

12 กรกฎาคม 2551 วันสุดท้ายของทริปหลวงพระบาง

เราแหวกม่านขี้ตากันขึ้นมาตั้งแต่ตี 4.30...เพื่อไปตักบาตรข้าวเหนียว มาถึงหลวงพระบางไม่ได้ตักบาตรข้าวเหนียวจะได้ไง...พระ เณรที่หลวงพระบางจะออกบิณฑบาตรเป็นเวลาเดียวกัน (นัดกันมา...ว่างั้น...แบบนี้เค้าเรียกนินทาพระรึเปล่าเนี่ยเรา) ถนนที่เราไปตักบาตรมีพระ 12 วัดเดินผ่าน ชาวบ้านจะตักบาตรด้วยข้าวเหนียว (มีขนมบ้างเล็กน้อย แต่เรามีแต่ข้าวเหนียว) ส่วนกับข้าวพวกชาวบ้าน (ที่ตื่นสายกว่าเรา หุ หุ หุ) จะนำไปถวายที่วัดภายหลัง

พระ เณรบิณฑบาตรเหมือนกับเกรงว่าญาติโยมที่ปลายทางจะรอนาน....เดินกันปานจรวด หากเราหยิบข้าวเหนียวช้า...ก็จะเดินเลยไปเหมือนไม่ใส่ใจเรา รูปนี้ตอนไปถึงสถานที่รอใส่บาตร ยังไม่สว่างดี โฮมมี่ brief พลพรรคตักบาตรว่าจะต้องทำไงบ้าง เช่น พระจะมาจากทางไหน ควรหยิบข้าวเหนียวก้อนนึงประมาณพอดีคำ หยิบตรงริมๆ ก่อน เพราะตรงกลางมันจะร้อนนนนน และควรเหลือข้าวเหนียวไว้ 1 คำ เพื่อนำไปทำทานด้วยได้รับการ brief เสร็จ ท่าน "สอวอ" ทั้ง 2 รายได้รับอภิสิทธิ์นั่งเก้าอี้ใส่บาตร ตอนแรกม่าว่าจะไม่นั่ง แต่พอได้รับคำขู่ว่านาน (นะยะ) ก็ยอมนั่ง ส่วนธีร์นั่งจับเท้ารอ...ก่อนจะไปจกข้าวเหนียวใส่บาตร (เวร! เพิ่งเห็นนะเนี่ย ใส่บาตรไปแล้ว) โฮมมี่เล่าว่าทริปก่อนๆ มีเด็กมาใส่บาตรข้าวเหนียว ใส่ไปใส่มาข้าวเหนียวติดมือ พ่อแม่ก็ควักข้าวเหนียวใส่บาตรมือเป็นระวิงไม่ได้ดูลูก ปรากฎว่าหนุ่มหรือสาวน้อยรายนั้นก็ไม่รู้ได้ ก็เลียข้าวเหนียวที่ติดมือไปพลาง และใช้มือข้างเดียวกันนั้นจกข้าวเหนียวใส่บาตรไปด้วย....วันนั้นข้าวเหนียวในบาตรพระคงหวานหอมเป็นพิเศษ
รูปหมู่ระหว่างรอพระ ดีนะที่รูปไกลหน่อย ไม่เห็นตาบวมๆ ของพวกเรา
ในมือธีร์ถือของพิเศษที่เจ้าตัวเตรียมจะใส่บาตรพระ...สาหร่ายเถ้าแก่น้อยนั่นเอง
ส่วนนี่ก็รูปรวมๆ
และแล้วการใส่บาตรข้าวเหนียวก็ผ่านพ้นไปด้วยดี ธีร์ที่บอกว่าจะกินข้าวเหนียวบ้างตั้งแต่อยู่ในรถก็ไม่ได้กระทำการอันอาจหาญเพียงนั้นแต่อย่างใด คงเพราะเชื่อที่หม่าม้าบอก และด้วยประสบการณ์การไปวัดแต่เดิม ที่ว่าเราจะกินอาหารก่อนพระไม่ได้ ต้องรอให้หลวงปู่ฉันก่อน เราถึงจะกินได้ (ดีมากลูก) ธีร์ใส่ข้าวเหนียวลงบาตรทันบ้างไม่ทันบ้าง พระ/เณรบางรูปเห็นเป็นเด็กเล็กเลยผ่อนรอให้เล็กน้อย บางรูปก็เลยไป นางสนองพระโอษฐ์ซ้ายขวาของธีร์หลังจากใส่ของตัวเองเสร็จก็ช่วยกันหยิบข้าวเหนียวใส่มือธีร์ให้ได้ใส่บาตรอย่างเต็มที่ บางทีรีบไปหน่อย ธีร์จะบ่นว่า "ข้าวเหนียวร้อนนนน"

หลังจากใส่บาตร ทำบุญเสร็จ เราก็เหลือข้าวเหนียวก้อนเล็กๆ มาวางไว้บนกำแพงวัด เป็นการทำทานให้กับนก มด สัตว์อื่นๆ จบการตักบาตร เค้าก็จะพาเราไปเดินชมตลาดท่าเรือเม เป็นตลาดเช้า ขายของสด นี่รูประหว่างทางไปตลาด มีบ้านนึงตรงรั้วปลูกข้าวไว้ทำเป็นรั้วด้วย เก๋มาก...อี๊บีมีรูปเป็นหลักฐาน
ขึ้นชื่อว่าตลาดสด ของที่ขายก็ต้องสด...เป็นธรรมดา มีผัก ผลไม้ ปลา (ที่ยังว่ายน้ำอยู่) ไก่ที่ยังมีชีวิตแต่วิ่งไม่ได้เนื่องจากถูกผูกขากองไว้ เฝอ ขนมเส้น ฯลฯ สารพัด....ว่าไปโน่น จริงๆ แล้วรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง จารนัยไม่หมด ผักอย่างต้นหอมเค้าจะมัดรวมกันด้วยเส้นตอก ไม่ได้ใช้หนังสติ๊ก ของก็วางหายกันตามพื้นนี่แหละ ง่ายดี มีผ้าพลาสติกหรือใบตองรองไว้พองาม

รูปด้านขวาตรงกลาง เป็นยายขายขนมหน้าตาเหมือนขนมไช้เท้าทอด น้ำมันดำขนาด...สงสัยใช้มาตั้งแต่ยายยังสาว ส่วนขวาล่างชายหนุ่มคนนี้เค้าขายขนมครก ขนมครกแบบโคลสอัพ หน้าตาแบบนี้ เราซื้อชิมที่ตลาดมืดตอนกลางคืนวันแรก 3 คู่ 1,000 กีบ (5 บาท) ซื้อเสร็จจะจ่ายเงินเป็นเหรียญ 5 บาท คนขายบอกไม่รับเหรียญ ให้จ่ายแบงก์ 20 มา จะทอนให้ตอนแรกทอน 3,000 กีบ หม่าม้ากะอี๊บียืนงงๆ อยู่ว่ามันเท่ากับเท่าไหร่ ทอนถูกรึเปล่าหว่า คนขายเห็นยืนค้างอยู่เลยคุ้ยเงินยื่นมาให้อีกพันเป็น 4,000 กีบ ไม่รู้ใครงง ใครไม่งง หรืองงกันทั้งคู่ 555

เราได้ขนมครกมา 3 คู่ ธีร์ถือเองไม่ยอมวาง กินแล้วอร่อยดี ขนมครกทำจากข้าวเหนียว เหนียวๆ หวานๆ มันๆ เหมือนกินขนมเข่งทอด วันถัดมาเหลือเงิน 4,000 กีบ ธีร์ร่ำร้องจะกินขนมครกอีก อี๊บีไปซื้อ คราวนี้แม่ค้าบอกว่า 5 คู่ 2,000 กีบ....ขึ้นราคาซะงั้น (สงสัยคิดว่าเมื่อวานขาดทุน) อี๊บีอุตส่าห์ยืนรอแม่ค้าผลิตสดใหม่จากเตาเพื่อนำไปสังเวยเด็กชายธีร์ ฝนก็ตก...พอเอากลับไปกินที่โรงแรม หม่าม้าอุตส่าห์โฆษณาซะดิบดีว่าอร่อย แต่ผิดคาด คราวนี้ไม่อร่อย มีแต่แป้งไม่มีกะทิเท่าไหร่ นอกจากขึ้นราคาแล้วยังลดคุณภาพซะอีกแน่ะ....แย่จัง
นี่ก็แม่ค้าขายขนมเส้น เฝอ ถั่วงอก น้ำอัดลม (ที่ขวดเขียนภาษาลาวด้วยนา) ส่วนซ้ายล่างสุดเป็นรถคล้ายๆ ตุ๊ก ตุ๊ก แต่ที่นั่งเป็นเหมือนรถสองแถว ที่ลาวเรียกรถประเภทนี้ว่า "สกายแล๊ป"
แล้วเราก็ถึงจุดหมาย ร้านกาแฟประชานิยม จริงๆ ต้องบอกว่าเป็นร้านกาแฟประชา (ชนคนไทย) นิยมซะมากกว่า ที่ร้านมีสมุดเซ็นชื่อด้วยนะ เท่าที่อ่านมาจากในเว็บ...ทั้งคนเซ็นคนนั่งกินก็คนไทยทั้งนั้นแหละ ไม่เห็นมีคนลาวเลยนอกจากแม่ค้า ราคาเครื่องดื่มร้อนแก้วละ 12 บาท เย็นไม่รู้ เพราะไม่ได้กิน (เค้าว่าที่หลวงพระบางไม่มีโรงน้ำแข็ง มีแต่ร้านที่ทำน้ำแข็งตามบ้าน มีไม่พอขายด้วย) ปาท่องโก๋ตัวละ 5 บาท ปาท่องโก๋แพงซะงั้น ร้านนี้ดีตรงที่จ่ายเงินแล้วมีเหรียญเงินบาททอน และลดราคาค่าเสียหายให้ 1 บาท 555

รูปข้างซ้ายบนที่กองๆ เป็นพะเนินนั่น คือขนมปังฝรั่งเศส...บาแก๊ต ที่หม่าม้าหมายมั่นปั้นมือว่าจะชิมซักกะหน่อย อ่านในเว็บมาเห็นว่าอร่อยนักหนา ตอนไปซื้อถามว่าเนื้อที่ใส่ตรงกลาง ทำกลมๆ เหมือนเนื้อใส่เบอร์เกอร์เป็นเนื้ออะไร...ได้รับคำตอบมาว่า หมูผสมเนื้อ อดกินซะงั้น เห็นว่าเวลาทำจริงๆ เค้าจะใส่ไส้เป็นพวกตับบด ส้มตำ หม่าม้าสั่งไส้นมข้นหวานมาชิม ตอนแรกกะจะเอาไส้แยม แต่เห็นสภาพขวดแยมแล้วไม่เอาดีกว่า (กลัวตาย)...ผิดหวังอย่างแรง แข็งก็แข็ง เหนียวก็เหนียว ชืดๆ เค้าถูกหลอกกกกกกก

ส่วนขวาล่าง ที่กงกินอยู่คือเฝอหมู กงกินแล้วว่าอร่อยดี อี๊บีสั่งมาอีกชาม หม่าม้าแอบชิมแล้วน้ำซุปเค็มไปหน่อย แต่ก็กลมกล่อมดี ส่วนธีร์กำลังแทะเล็มโอวัลตินอยู่
กลับโรงแรม อาบน้ำ (เลยรู้เลยว่าไปตักบาตรไม่อาบน้ำ แปรงฟันล้างหน้าไปอย่างเดียว กง ม่า อี๊บีเค้าพร้อม อาบน้ำเสร็จไปก่อนแล้ว) กินอาหารเช้า วันนี้ที่ห้องอาหารของโรงแรมคนพลุกพล่าน คนไทยทั้งนั้น สรุปว่าหลวงพระบางจะคึกคักไปด้วยคนไทยทุกวันศุกร์-อาทิตย์

เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมแล้วเราก็ไปพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง แต่เดิมเป็นวังของเจ้ามหาชีวิตมาก่อน พอเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 1975 ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ ข้างในประกอบด้วยโรงละคร วัดที่สร้างมา 17 ปียังไม่แล้วเสร็จ (ขวากลาง และซ้ายบน) โฮมมี่บอกว่าเสร็จแล้วจะเป็นที่ประดิษฐานพระบาง พระคู่บ้านคู่เมืองของหลวงพระบาง และซ้ายล่างก็คือส่วนที่เป็นวังเก่า ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปข้างใน

ในวังก็จะมีท้องพระโรงที่ใช้รับแขกบ้านแขกเมือง หอฟังธรรมพร้อมธรรมาสน์ ห้องบรรทมของเจ้ามหาชีวิต เครื่องใช้ ฯลฯ
รูปหมู่ก่อนเข้าไปดูวัง
พระพี่เลี้ยงชื่นชมพฤติกรรมการเดินทางของธีร์มากถึงขนาดช่วยส่งเสริมทางด้านหลังเป็นอย่างดี
ปั๊มน้ำมันในวัง...บอกว่าใช้จนถึงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หัวจ่ายสองหัวนี้เขียนภาษาไทยชัดเจน อิมพอร์ตมาจากไหนหนอ...
ธีร์ง่วงมากเนื่องจากตื่นแต่เช้ามืด หลังจากวุ่นวายๆ ให้อุ้มบ้าง วิ่งเองบ้าง ท้ายสุดหม่าม้าอุ้มฟังโฮมมี่บรรยายเรื่องโน้นเรื่องนี้ ธีร์เอื้อมมือไปคว้าฝรั่งที่แต่งตัวคล้ายๆ อี๊บี หัวหยอยๆ เป็นผู้ชาย คว้าแล้วพอรู้ว่าไม่ใช่อี๊บีซึ่งเป็นเป้าหมายหลัก ธีร์ถึงกับตกใจจนสลบไป.....น่าเสียดาย ไม่มีรูป 555

ชมพิพิธภัณฑ์เสร็จ เราก็เดินทางไปหมู่บ้านผาโนม และร้านขายเครื่องเงิน ซื้อของส่งท้ายเล็กๆ น้อยๆ ก่อนไปกินอาหารเที่ยง และไปสนามบิน เนื่องจากทำเวลากันได้ดีมาก ไปถึงสนามบินตอนเที่ยง....เครื่องบินออกบ่ายสามโมงครึ่ง....นี่เราทำอะไรลงไปเนี่ยยยยย

ระหว่างรอเช็คอิน ป๊าเหลือบไปเห็นตาชั่ง เครื่องวัดขนาดกระเป๋าอันนี้เข้า ถ้าเป็นที่เมืองไทยคงถูกดูถูกเหยียดหยาม แต่นี่เป็นลาว....ดูช่างเรียบง่ายและน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน 555
รอแล้วรออีกจนเจ้าหน้าที่ของบางกอกแอร์เวยส์สงสาร จัดการเช็คอินให้ก่อน เลือกที่นั่งให้ไม่หลังมากเท่าไหร่ บอกว่าวันนี้ไฟลท์ไม่เต็ม มีแค่ 40 กว่าคน เครื่องบินทั้งขาไปขากลับเป็นเครื่องบินใบพัด ทั้งลำน่าจะบรรจุผู้โดยสารได้ซัก 80 คนเต็มที่ จากนั้นเค้าก็ถีบส่งให้เข้าไปนั่งรอในห้องผู้โดยสารขาออก (ที่ไม่มีอะไรเลย นอกจากห้องน้ำ หนังสือพิมพ์ภาษาลาวที่ลงวันที่ 20 กว่าๆ เดือนมิถุนายน และทีวีที่ไม่ได้เปิดอีกหนึ่งเครื่อง!!!) รู้งี้นั่งรอข้างนอกดีกว่า อย่างน้อยก็ยังมี bangkok airways boutique lounge ด้วย (ข้างในมีขนมให้กินด้วยนะ ฮึ!!!)

ธีร์กับพาสปอร์ตที่ยืนยันจะต้องถือเอง ยื่นเอง กลัวไม่ได้กลับบ้านรึไง
นั่งรอ นอนรอ อุ้มรอและเล่นรอ เครื่องบินในที่สุด บ่ายสองโมงครึ่ง เครื่องบินก็มาถึง (ไชโย ไชโย...อยู่ในใจ)
ภาพถ่ายทางอากาศของหลวงพระบาง บ๊ายบายจ้าหลวงพระบางเมืองริมโขง
เครื่องบินขึ้นไปได้ไม่เท่าไหร่ ธีร์ที่ประกาศกร้าวว่า "ธีร์ไม่น๊อน ธีร์ไม่นอน" ก็หลับไปอย่างสงบเสงี่ยม ปล่อยให้หม่าม้าได้ลิ้มรสอาหารว่าง (สลัดผักน้ำไงเล่า) อย่างเอร็ดอร่อย ไม่น่าบอกเค้าเล้ยยย ว่าเอาแค่ชุดเดียว ยังคงเสียดายอยู่ถึงตอนนี้ (ตะกละมาก)
กลับมาถึงสุวรรณภูมิแล้ว ธีร์ก็ยังไม่ยอมตื่น ระหว่างทางเดินทำชิ้นส่วนหล่นเป็นระยะ ไม่ว่าจะเป็นผ้าอ้อมเอย รองเท้าเอย มีคนเก็บมาส่งเป็นระยะๆ อีกเช่นกัน ว่าแล้วก็ถ่ายรูปกับยักษ์ซะหน่อยซิธีร์
แล้วก็จบการเดินทางไปหลวงพระบางแต่เพียงเท่านี้
ก่อนจากไปจริงๆ สิ่งต่างๆ ที่เขียนๆ มา 3 วันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของหม่าม้าแต่เพียงผู้เดียว อาจจะมีผิดพลาดบ้าง อย่าถือเป็นจริงจัง อ่านเอาสนุกกันแค่นั้นพอนะจ๊ะพี่น้อง

โดยส่วนตั๊ว ส่วนตัว หม่าม้าว่าหลวงพระบางก็คล้ายๆ เมืองเหนือของไทยนี่แหละ หลายคนบอกว่าผู้คนเค้าน่ารัก เป็นมิตร แหะ แหะ อันนี้ตอบไม่ได้ เพราะว่าคนลาวที่ได้คุยก็โฮมมี่คนเดียว พื้นเพก็เป็นคนเวียงจันทน์ไปซะงั้น แต่ก็อย่างที่เคยบอก เค้าชอบเมืองมรดกโลก เพราะทำให้หลวงพระบางกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีงานทำ มีรายได้กัน ส่วนที่ไม่ชอบก็คงมี แต่ทำอะไรไม่ได้ สงสัยกลัวโดนจับไปอยู่รีสอร์ตริมโขง (นี่เราจะโดนจับไปอยู่ที่นั่นฐานวิพากษ์วิจารณ์รึเปล่าเนี่ย)

ว่าแล้วก็ชิ่ง ชะแว้บจบกันตรงนี้ดีกว่า ถ้าอาทิตย์หน้ายังไม่อัพบล๊อกแสดงว่าไปพักรีสอร์ตแล้น 555

Destination Luang Prabang Day 2

สงสัยเรตติ้งเราจะตก โพสต์ไปแล้ววันนึงไม่มีใครมาคอมเมนท์เท่าไหร่ 555

ภาพเก็บตกเพิ่มเติมจากการท่องเที่ยววันแรก อี๊บีเพิ่งส่งมาให้ ด้านล่างนี่คือพระธาตุพูสี....ตัวพระธาตุมีเท่านี้จริงๆ อยู่บนยอดภูเขา หอบแฮ่ก เอ้ย! เดินตั้งนาน....เอ้า! กราบกันเป็นศิริมงคลเด้อ...

ขอสารภาพความเลวส่วนตัว... ขาลงจากพูสี เจอฝรั่งกำลังเดินขึ้น เดินได้ระยะทางเท่าที่ธีร์เดินก็หอบแฮ่กๆ แล้ว หม่าม้าสงสาร...บอกเค้าไปว่า "This is not even half way!" ความปากมอมส่วนตัวนี้ไม่รู้จะเป็นการให้กำลังใจหรือตัดกำลังใจเค้ากันแน่นะ....ปกติที่หม่าม้าเคยเจอ ผู้คนมักจะบอกหม่าม้าว่าใกล้จะถึงแล้ว....ทั้งๆ ที่มันยังไม่ถึงครึ่งทางเลย หลอกตรูนี่หว่า
สภาพธีร์และม่าบนพูสี หัวธีร์ยุ่งเล็กน้อยจากการขี่ม้าอี๊บีขึ้นมา ส่วนม่ายังคงสวยใสเหมือนเดิมค้าบ 555
ส่วนนี่...สภาพที่แท้จริงของป๊าและหม่าม้ากับแม่น้ำ (โขงหรือคานหว่า) ป๊าจะเป็นลม โบกพัดหยอยๆ ส่วนหม่าม้ายังพอฉีกยิ้มได้ แปลว่ายังเหลือพลังอยู่บ้าง หุ หุ หุ
11 กรกฎาคม 2551 เริ่มต้นชีวิตในหลวงพระบางวันที่ 2 กันด้วยอาหารเช้าในห้องอาหารของโรงแรม ริมแม่น้ำโขง ธีร์ผู้ซึ่งล่วงหน้ามากับอี๊บีและ กง ม่าก็แทะเล็มอาหารอเมริกันเบรคฟาสต์ไปอย่างละเล็กละน้อย พอได้ลิ้มรสว่าอะไรเป็นอะไร และถ่ายรูปกับแม่น้ำโขง และต้นมะละกอระดับ 5 ดาวไว้เป็นที่ระลึก (ต้นไม้ด้านขวาของรูปนั่นแหละ) ส่วนหม่าม้าก็ทำหน้าที่แม่ที่ดี กินอาหารเช้าตุ้ยๆ แบบละเลยลูกเต็มที่ เก็บแรงไว้ไปเที่ยว!!! ส่วนป๊าก็ทำหน้าที่ตากล้องถ่ายรูปอย่างขยันขันแข็ง
กินอาหารเช้าเสร็จ ธีร์ก็ไปชมสวนเก็บดอกจำปาลาว (ดอกลั่นทม/ลีลาวดี) มาฝากหม่าม้าให้ชื่นใจ
เก็บมาแล้วลูกชายที่น่ารักก็เอาดอกไม้ทัดหูเล่นแบบนี้....
และแบบนี้
หลังจากลั๊นลันลาทัดดอกไม้กันเรียบร้อย เราก็เดินทางด้วยรถส่วนตัวพร้อมพลขับ ไปหน้าวัดเชียงทองอีกที คราวนี้ไปขึ้นเรือล่องแม่น้ำโขง ดูวิวริมฝั่งโขง และไปถ้ำติ่ง กับหมู่บ้านซ่างไห่ (ไม่ใช่ shanghai...แต่เป็นหมู่บ้านช่าง(ปั้น)ไหออกเสียงด้วยสำเนียงลาว)
ด้านในของเรือที่พาเราล่องแม่น้ำโขง...นี่ก็เรือส่วนตัวพร้อมพลขับส่วนตั๊ว ส่วนตัวอีกเช่นเดิม
ส่วนสมธีร์น่ะเหรอ....มีที่นั่งเป็นของตัวเองพร้อมกับชูชีพที่ตอนแรกใส่ไม่ยอมถอด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเป็นของแปลกหรือว่ากลัวจมน้ำ....นั่งเรือด้วยหน้าตาจริงจังเป็นอย่างยิ่ง
โฮมมี่เล่าว่าที่ดินริมแม่น้ำโขงในหลวงพระบางตอนนี้ราคาแพงขึ้นมาก ที่ดินในลาวขายกันเป็นตารางเมตร เมื่อก่อนแค่ไม่กี่ร้อยบาท เดี๋ยวนี้เป็นพันบาทแล้ว และส่วนใหญ่ก็ตกไปอยู่ในมือชาวต่างชาติเรียบร้อยแล้ว ซื้อในนามคนลาวอีกที ดังนั้น บ้านสวยๆ ริมโขงก็เป็นของฝรั่ง...

นั่งๆ เรือไป โฮมมี่ก็ชี้ให้ดูรีสอร์ตริมโขง...สำหรับคุมขังนักโทษ มีหอควบคุมไม่ให้นักโทษหนีด้วย คุกของหลวงพระบางนี่วิวดีนะเนี่ย...จะมีใครสนใจไปใช้บริการบ้างมั้ยค้าบ (เราไม่มีรูปให้ดู...ตากล้องไม่ทำงาน หรือว่าตากล้องอี๊บีมีรูปล่ะ)

เนื่องจากระยะเวลาการล่องแม่น้ำโขงของเรานานเหมือนกัน (ชั่วโมงครึ่งน่าจะได้กว่าจะถึงถ้ำติ่ง เพราะแล่นเรือทวนน้ำ) ธีร์ซึ่งหายกลัวแล้วก็วิ่งวุ่น พยายามจะนอนรึก็ไม่หลับ เลยหิวกลายเป็นลิงกินกล้วยแก้มตุ่ยแทนถ้ำติ่งเป็นถ้ำที่มีพระพุทธรูปเยอะมากๆ (รูปล่างด้านซ้ายมือคือถ้ำติ่ง ส่วนรูปล่าง มุมขวาบนเป็นพระพุทธรูปในถ้ำ) เจ้ามหาชีวิตสมัยก่อนก็เดินทางมาทางเรือ (ใช้เวลา 2 วัน) มาสรงน้ำพระ แล้วก็เอาพระพุทธรูปมาตั้งไว้ในถ้ำ ถือเป็นประเพณีปีละครั้ง เป็นการนำสิ่งที่ไม่ดีมาทิ้งไว้ที่ถ้ำติ่ง และนำสิ่งดีๆ กลับไปยังหลวงพระบาง ทุกวันนี้ก็ยังมีคนนิยมนำเอาพระพุทธรูปไปไว้ที่ถ้ำติ่ง โฮมมี่บอกว่าพระพุทธรูปที่ดูใหม่ๆ จะถูกเอาไปซ่อนไว้หลังๆ ก่อน พอดูเก่าๆ แล้วค่อยเอามาโชว์ไว้ด้านหน้า...เป็นกุศโลบายของยูเนสโก ผู้ควบคุมเมืองมรดกโลกอีกเช่นกัน (สงสัยกลัวจะไม่ขลัง)

ออกจากถ้ำ เราก็นั่งเรือตามน้ำไปยังหมู่บ้านซ่างไห (รูปขวากลางและล่าง) หมู่บ้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องทอผ้าไหม ผ้าฝ้าย แล้วก็เหล้าดอง...สิ่งที่เอามาดอง เช่น ตุ๊กแก งู ตะขาบ แมงป่อง ฯลฯ เหล้าขาวที่นี่ 55 ดีกรีเชียว เค้าว่าจุดไฟติด หม่าม้าไม่ได้เดินไปพิจารณาอย่างใกล้ชิดหรือขอชิมแต่ประการใด....มันน่ากลัวเกินไป (ประโยคนี้เป็นสำนวนของธีร์)ขากลับ เราก็ไม่ได้นั่งเรือกลับ รถมารับเราที่หมู่บ้านซ่างไห ทางขากลับเป็นดินลูกรัง...เนื่องจากยางมะตอยที่เคยปะหน้าถนนไว้มันหายหมดไปซะแล้ว (แปลว่าเคยมียางมาก่อน และสงสัยว่ารถคงวิ่งกันพลุกพล่านมาก หุ หุ หุ) ทางก็เลยขรุขระ โยกคลอนมากเป็นพิเศษ สองข้างทางก็มีการทำนา ปลูกผัก เป็นวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของบรรพบุรุษชาวลุ่มแม่น้ำแบบเรา

กลับมาถึงตัวเมือง เราก็ไปกินอาหารเที่ยงกัน ธีร์กินโจ๊กมาตั้งแต่ในรถ (โดยมีอาม่าเป็นหน่วนสนับสนุนเสบียงหลักอย่างเป็นทางการ โจ๊กกระป๋องรสชาดดีของโครงการสวนจิตรฯ นี่ก็หอบหิ้วกันไปด้วย กลัวหลานอดตาย) ก็กินโน่นนิดนี่หน่อยพอวุ่นวายแล้วก็ไปเดินเล่นกับอี๊บี...ร้านนี่นี้แหละที่ได้ชิมแกงอ่อมหลวงพระบาง บริกรในร้านเดินมาแนะนำว่าเต็มไปด้วยสมุนไพรนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น "สะค่าน" ยอดหวาย เห็ดหูหนู มะเขือ ฯลฯ เป็นมิตรอย่างมาก ส่วนหมูทอด...เหนียวชะมัด กงว่าเป็นหมูแก่ 555 เค้าบอกว่าหมูที่ขายกันที่นี่ไม่เหมือนเมืองไทย ที่ชำแหละเนื้อมาขายเป็นส่วนๆ หมูที่นี่ขายทั้งกระดูกเลยทีเดียว

ส่วนเวลาพนักงานจะเติมข้าวให้กงกับม่า เค้าจะถามว่า "คุณพ่อ/คุณแม่ รับข้าวอีกไหม" ถ้าขออะไรหรือถามอะไร เค้าก็จะแทนตัวเองว่า "น้อง" ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย ฟังดูน่ารักดีเนาะ

ร้านอาหารในลาวส่วนใหญ่ไม่มีคนลาวไปนั่งกิน เนื่องจากอาหารจะราคาแพง (ข้าวแกงจานละ 60 บาท เพราะน้ำมัน น้ำปลา เครื่องปรุงรสส่วนใหญ่จะอิมพอร์ตมาจากไทย) คนลาวจะทำกับข้าวกินเองที่บ้าน ยามว่างก็จะปลูกผักไว้กิน ไว้ขาย อีกเหตุผลก็คือรายได้ขั้นต่ำของคนจบปริญญาตรีประมาณ 3,000 กว่าบาท ค่าครองชีพกับรายได้ไม่ค่อยสัมพันธ์กัน...เลยไม่ค่อยมีคนลาวตามร้านอาหาร มีแต่ชาวต่างชาติ

รูปนี้ถ่ายมาจากระเบียงชั้น 2 ที่นั่งกินข้าวกัน
แล้วก็กลับมาขี่ช้าง ข้างกระติ๊บข้าวเหนียวรอคนอื่นๆ ตกบ่าย ตามกำหนดการเราจะต้องไปเที่ยวน้ำตกตาดกวงสีกัน แต่หม่าม้าเห็นว่าธีร์นอนน้อย แล้วก็ตื่นเช้ามาหลายวันแล้ว เลยขอตัว (พร้อมหัวเล็กๆ ของธีร์ หัวฟูๆ ของหม่าม้า) ของเรา 2 คนไปนอนพักผ่อนตามอัธยาศัยที่โรงแรมแทน นี่คือรูปน้ำตกตาดกวดสี ป๊ากลับมาบอกว่าน้ำตกสวยมากกกกกกก
อี๊บีกลับมาบอกว่าทางไปไม่ลื่น เดินสบาย กงที่เข่าไม่ค่อยแข็งแรงก็ขอตัวรออยู่ด้านล่างๆ แทน ส่วนเสือที่เค้าเลี้ยงไว้แถวน้ำตก ได้เสียชีวิตไปซะแล้วเมื่อเดือนก่อน...เหลือแต่หมีควาย! และยังบอกอีกว่า...ไปไม่มีธีร์เรานั่งรถไปน้ำตกกันเงี๊ยบ เงียบ 555

อาม่า อี๊บี และลูกคนล่าสุดของม่าเค้าถ่ายรูปด้วยกันที่น้ำตก ไปน้ำตกกันแค่ 3 คน จะมีใครอีกได้ หุ หุ หุ (เอ่อ...เห็นว่าเค้ากำลังรับสมัครลูกคนใหม่อีก ใครจะรีบสมัครก็เร็วๆ หน่อยเดี๋ยวโควต้าหมด จะอดกัน คริ คริ คริ)เดินดูน้ำตก ถ่ายรูปกันเสร็จเรียบร้อย อีก 25 กิโลเมตรถึงหลวงพระบาง....อี๊บีถึงกับลิ้นห้อยเลยทีเดียวเชียว
ว่าแล้ว ม่าก็นำหน้า ตามด้วยโฮมมี่ อี๊บี และป๊าปิดท้ายก็เดินตามทางกลับไปหลวงพระบาง
กลับถึงโรงแรม ฝนก็ตกหนักพอดี ทุกคนก็เลยพักผ่อน...ป๊าไปเดินถ่ายรูป อี๊บีมีกงเป็นสปอนเซอร์ ได้นวดผ่อนคลาย (จริงๆ แล้วเพราะเค้าชาร์จรวมกับค่าห้องพัก 555) ส่วนกง กะม่าหลังจากเดินเล่น ดูทีวีแล้วไม่รู้จะทำอะไรดี เลยเดินมาปลุกให้ธีร์ตื่นไปเล่นด้วยกันซะงั้น...

กงแก้ตัวว่าไม่ได้ปลุก ธีร์ตื่นเอง หลังจากกงเดินเข้ามาในห้องและพูดเสียงปกติ (ซึ่งค่อนข้างดัง) ว่านอนหลับปุ๋ยเชียว 555 เราน่ะ มีหลักฐานตั้งแต่เริ่มเคาะประตูเลยนะจะบอกให้แล้วเราก็ไปกินอาหารเย็นกัน มื้อนี้อาหารเด็ดประจำมื้ออยู่ตรงหน้าอี๊บีกะม่า นั่นก็คือ สลัดผักน้ำ ผักน้ำเป็นผักขึ้นชื่อของหลวงพระบาง ทำสลัดแล้วอร่อยทีเดียว หม่าม้าได้ลองชิมรสจริงๆ บนเครื่องบินขากลับ (จนคิดว่าไม่น่าบอกแอร์ฯ เล้ยว่าเอาอาหารแค่ชุดเดียว ของธีร์ที่หลับอยู่ไม่เอา) จานนี้หม่าม้าได้กินตอนที่ป้อนข้าวธีร์เสร็จแล้ว ซึ่งก็แปลว่าสลัดมันเซ็ง สลดไปหมดแล้ว ก็เศร้าสิ (ก็เศร้าสินี่ก็สำนวนของธีร์อีกเช่นกัน)
จบวันด้วยการไปช้อปปิ้งเป็นการส่งท้ายที่ตลาดมืดของหลวงพระบาง เนื่องจากกลัวว่าพรุ่งนี้จะไม่ได้ซื้ออะไรแล้วหม่าม้าก็เลยซื้อของฝากเหมือนเป็นบ้า (จริงๆ ก็เป็นอยู่แล้วนี่นะ 555)

ถึงโรงแรม ทุกคนก็เก็บข้าวเก็บของเตรียมตัวกลับบ้าน ซึ่งก็รวมถึงหนุ่มน้อยหน้าใสรายนี้ด้วย เก็บอยู่นาน มีแค่ถุงเท้า 1 คู่ รองเท้า 1 คู่ เอาใส่เข้าถุงแล้วก็เทออกมา ใส่เข้าไปใหม่ ทำอยู่หลายรอบ ก่อนจะไปแกล้งหลับ และเอนกายดูการ์ตูนก่อนนอนวันสุดท้ายเราจะไปตักบาตรข้าวเหนียวแล้วก็เดินดูตลาดเช้ากัน ตื่นแต่เช้ามากกกกก ข้อสังเกตเล็กน้อยก่อนไปตักบาตร...ตอนกลางวันจะไม่ค่อยเห็นพระ/เณรออกมาเดินตามถนนหนทางเท่าไหร่ ตอนค่ำๆ จะพอมีบ้าง โฮมมี่บอกว่ายูเนสโกมีกฎไม่ให้พระ/เณรออกมาตอนกลางวัน เพราะกลัวจะมีเรื่องชู้สาวเกิดขึ้น....ผู้หญิงชาวต่างชาติบางส่วนก็แต่งตัวไม่ค่อยมิดชิด

ก่อนจบเรื่องราวในวันนี้ไป...มีสิ่งนึงในทริปนี้หม่าม้าสนุกสนานมากคือ....การอ่านตัวหนังสือภาษาลาว ภาษาลาวกะภาษาไทยนี่คล้ายกันมากเหมือนกัน แต่ภาษาลาวมีตัวอักษรแค่ 26 ตัว บางครั้งก็อ่านออก บางครั้งก็อ่านไม่ออกเลย ป๊าเองก็เคยเปรยๆ ว่าเป็นเรื่องน่าตกใจเหมือนกันที่คนเราอยู่คนละประเทศ พูดกันคนละภาษา แต่ฟังกันเข้าใจเหมือนพูดภาษาเดียวกัน ลองอ่านป้ายพวกนี้กันดูสิ....อ่านกันออกไหมล่ะ