อากาศวันที่เดินทางขมุกขมัว ฝนตกปรอยๆ ตลอดเวลา เราไปถึงสนามบินกัน 2 ชั่วโมงก่อนเครื่องออก มีเวลากินอาหารเที่ยง แวะช้อปปิ้งดิวตี้ฟรีกันเล็กน้อยพอไม่ให้เสียชื่อชาวสยาม คริ คริ คริ
ธีร์ผู้ซึ่งมีประสบการณ์การปั๊มนิ้วโป้งซ้ายมาจากการทำพาสปอร์ต แสดงความจำนงอย่างชัดแจ้งว่าต้องการจะถือเอกสารต่างๆ ด้วยตัวเอง พร้อมข้ออ้างว่า "ธีร์ยังไม่มีอะไรๆ เลย" และยังพร้อมเสมอสำหรับการปั๊มนิ้ว (ทั้งๆ ที่ไม่มีใครเค้าต้องการรอยนิ้วมือของธีร์เลย 555) ผ่านการเช็ค boarding pass เราก็พร้อมขึ้นเครื่อง ถึงตอนนี้ ธีร์ที่ตื่นมาแต่ไก่โห่แสดงอาการง่วงอย่างมาก ถึงขนาดยืนโซซัดโซเซขณะเข้าห้องน้ำก่อนขึ้นเครื่องทีเดียวเชียว... ขึ้นรถบัสที่จะพาเราไปที่เครื่องบิน ฝนยังคงตกพรำๆ อยู่ รถไม่ออกซักที อี๊บีไปสืบราชการลับมาได้ว่า มีหมาของกระทาชายไม่ทราบสัญชาติรายหนึ่งส่งเสียงไม่ยอมหยุด เจ้าหน้าที่ต้องมาถามว่าให้ยานอนหลับแล้วหรือยัง เจ้าของหมาตอบว่าเมื่อชั่วโมงก่อนให้ยาให้หมาเค้าซึมๆ แล้ว แต่ไหงหมายังคงส่งเสียงไม่เลิก....คำถามที่เค้าถามเจ้าหน้าที่ก็คือ "My dog is crying or singing?" โถ! พ่อเจ้าประคุณ...ใครจะไปรู้ฟระ พอรถไปถึงเครื่องบิน เราก็ได้ยินเสียงเจ้าหมาที่ว่าชัดเจนทีเดียวเชียว ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาหมาของเราก็กำลังง่วงมาก ได้ยินเสียงหมาเห่าก็สนใจ แต่ไม่อยู่สภาพที่พร้อมแปลได้ เครื่องบินขึ้นได้ไม่เท่าไหร่ ผู้เชี่ยวชาญฯ ของเราก็ป๊อกคร่อกไป ตอนแรกหม่าม้าสงสาร กลัวว่าธีร์จะนอนหลับไม่สบาย เลยสละที่นั่งให้ธีร์นอนเหยียดยาวอย่างมีความสุข...แต่พอผ่านไป 5 นาที หม่าม้าเริ่มรู้สึกได้ว่าชีวิตของตัวเองคงยากลำบากมากตลอดเวลาอีกชั่วโมงกว่าๆ ถ้าต้องนั่งท่านี้ไปตลอด นอกจากนี้ คนที่เสียค่าเครื่องบินเต็มราคาคือหม่าม้า ดังนั้น เราควรพบกันครึ่งทาง เปลี่ยนท่านอนเสียใหม่ให้พอสบายกันทั้ง 2 ฝ่าย
ตัดฉับไปถึงตอนเครื่องบินลง สมธีร์ก็ตื่นมาพร้อมกับการเคลื่อนย้ายขนานใหญ่ของผู้โดยสาร ยังไม่ตื่นดีก็ต้องลงจากเครื่องบินกันซะแล้ว ถ่ายรูปกับเครื่องบินกันซักหน่อยเป็นหลักฐานและก็ต้องถ่ายรูปกับป้ายสนามบินด้วย...เรียกว่าเป็น standard pose ของการเดินทาง 555
ตัดฉับไปถึงตอนเครื่องบินลง สมธีร์ก็ตื่นมาพร้อมกับการเคลื่อนย้ายขนานใหญ่ของผู้โดยสาร ยังไม่ตื่นดีก็ต้องลงจากเครื่องบินกันซะแล้ว ถ่ายรูปกับเครื่องบินกันซักหน่อยเป็นหลักฐานและก็ต้องถ่ายรูปกับป้ายสนามบินด้วย...เรียกว่าเป็น standard pose ของการเดินทาง 555
รูปล่างนี่ โปรดสังเกตสาวน้อยชุดขาวด้านซ้ายของรูปซักหน่อย แต่งตัวได้ใจน้ามั่กๆ มีการสะพายกระเป๋า...แต่งตัวเป็นสาวมากๆ อี๊บีมีรูปเดี่ยว (ที่แอบถ่าย) สาวน้อยรายนี้มาด้วยชาวหลวงพระบางยินดีต้อนรับ เราเก๊าะยินดีที่ถึงหลวงพระบาง (ซักที) เหมือนกันเจ้า พอออกจากสนามบิน บุญโฮม (จริงๆ เวลาเค้าพูดชื่อเค้าจะออกบุญฮอมมากกว่า) หรือชื่อเล่นว่า "โฮมมี่" กับลุงมี (พลขับ) ก็มารับเรา 6 ชีวิตเดินทางเที่ยวท่องหลวงพระบางกัน ทัวร์นี้มีเราแค่ 6 คนเท่านั้น ดูเป็นส่วนตั๊ว ส่วนตัว 555
หลวงพระบางเป็นเมืองมรดกโลก ได้เป็นตั้งแต่ปี 1995 บ้านเมืองและสิ่งก่อสร้างในตัวเมืองถูกยูเนสโก "ฟรีซ" เอาไว้ให้คงเดิมให้มากที่สุด บ้านสร้างใหม่ยังไงก็ต้องทาสีขาวหรือสีครีม สร้างได้ไม่เกิน 2 ชั้น ต้องทำหน้าตาแบบเดิมๆ บ้านก็หน้าตาเหมือนกันไปทั้งเมือง มีคนว่าเหมือนกับเชียงใหม่สมัยเมื่อ 20-30 ปีก่อน
ออกจากสนามบิน จากตอนแรกที่ว่าจะต้องไปเช็คอินเข้าโรงแรมกัน เราก็เปลี่ยนแผนเล็กน้อยไปเที่ยวกันก่อน เพราะกลัวว่าฝนจะตก ที่แรกที่เราไปเยี่ยมชมก็คือ วัดวิชุนราช สร้างโดยเจ้ามหาชีวิตวิชุนราช ตามประเพณีของลาว เวลาเจ้ามหาชีวิตขึ้นครองราชสมบัติก็ต้องสร้างวัด 1 วัด (เวลาสิ้นฯ ไปก็จะเอาพระอัฐิมาไว้ที่วัดที่สร้างนี่แหละ) เค้าว่าที่หลวงพระบางมีวัดหลายร้อยวัดทีเดียวเชียว ทั้งเจ้าสร้าง ประชาชนสร้าง....ที่วัดนี้ยังมีพระธาตุหมากโม (พระธาตุแตงโม...ภาษาไทย) ด้วย ที่เรียกว่าพระธาตุหมากโมก็เพราะหน้าตาเหมือนแตงโมผ่าซีก วัดนี้สร้างแบบโบราณ ก่ออิฐ ขัดฝาด้วยไม้ไผ่ซีก และโบกทับด้วยหนังควายเคี่ยวผสมกับทราย ผนังของวัดจะหนามากๆ แล้วก็ถ้าพังไปแล้วก็ซ่อมไม่ได้ เพราะถ้าเอาปูนมาโบกมันจะชื้นและก็แตกพังไป (ข้อมูลที่เอามาโม้ๆ นี่ก็มาจากโฮมมี่นั่นแล...ขอบคุณเจ้า)
เข้าวัดก็ต้องกราบพระเนอะ....นี่ไง ภาพสโลว์ โมชั่น ตัดเป็นชอตๆ ถึงการกราบพระของสมธีร์
รูปหมู่รูปแรกหน้าพระอุโบสถวัดวิชุนราช
นี่รูปของพ่อแม่ที่แท้จริงของสมธีร์ และพระพี่เลี้ยงกับพระธาตุหมากโม โปรดสังเกต...กงแอ๊บแบ๊ว...หุ หุ หุ
ออกจากวัดวิชุนราช เป้าหมายต่อไปของเราก็คือวัดเชียงทอง วัดนี้ก็ถือเป็นพระอารามหลวงเหมือนกัน พระอุโบสถหรือสิมในภาษาลาวจะต่างจากไทยตรงที่ตรงกลางหลังคาจะมีอะไรก็จำชื่อไม่ได้...ที่เป็นสีทองๆ น่ะ อยู่ตรงกลาง เจ้าทองๆ นี่ก็จะเป็นการบอกว่าวัดนี้เป็นวัดหลวงหรือไม่ใช่ ถ้าเป็นวัดหลวงจะมี 17 ยอด เท่าที่เคยอ่านมา สมัยก่อนจะมีการบรรจุพระธาตุ หรือของมีค่าตรงกลาง เดี๋ยวนี้ว่างๆ คงถูกถอดไปเก็บรักษาไว้แล้ว (มองโลกในแง่ดี...) ที่วัดนี้จะมีพระม่าน (ที่ถ้าอัญเชิญออกมาแล้วฝนจะตกทุกครั้ง เลยต้องมีรูให้แอบดู...ประตูทองๆ ที่รูปบนขวามือมีดำๆ นั่นแหละ รูให้แอบดูพระม่าน) มีภาพประดับกระจกสี (อิมพอร์ตมาจากญี่ปุ่น) แสดงชีวิตของชาวลาว
แล้วก็มีพระเสี่ยงทาย (พระที่อยู่บนอาสนะสีส้มที่ธีร์พยายามยกอยู่นั่นแหละ ไม่รู้เสี่ยงทายเรื่องอะไร สงสัยจะขอให้ไม่ดื้อ แต่ยกไม่ขึ้น...คำขอไม่สัมฤทธิ์ผลในปีนี้ 555) โรงเมี้ยนโกศ (รูปที่มีหม่าม้ากะธีร์อยู่ด้านหน้า) เป็นที่เก็บราชรถที่ไว้อัญเชิญพระโกศ ฝาผนังไม้ด้านหน้าที่เป็นสีทองเค้าว่าแกะออกได้ทั้ง 4 ชิ้น
ธีร์พยายามถ่ายรูปป๊าด้วยมือเปล่าวุ่นวายอยู่ในวัดเชียงทอง
อี๊บี หม่าม้า และธีร์ก่อนเข้าไปดูในพระอุโบสถวัดเชียงทอง จริงๆ คราวนี้มีรูปอี๊บีกะธีร์ประมาณ 80% ของรูปที่ป๊าถ่ายมา (ประมาณ 1,200 กว่ารูป) แต่เราจะตัดๆ ออกไป แสดงเฉพาะรูปที่เหมาะสม มิเช่นนั้นจะกลายเป็นว่าหม่าม้าไม่ทำงาน 555
อี๊บี หม่าม้า และธีร์ก่อนเข้าไปดูในพระอุโบสถวัดเชียงทอง จริงๆ คราวนี้มีรูปอี๊บีกะธีร์ประมาณ 80% ของรูปที่ป๊าถ่ายมา (ประมาณ 1,200 กว่ารูป) แต่เราจะตัดๆ ออกไป แสดงเฉพาะรูปที่เหมาะสม มิเช่นนั้นจะกลายเป็นว่าหม่าม้าไม่ทำงาน 555
รูปหมู่อีกรูปที่วัดเชียงทอง
รูปครอบครัว พ่อแม่มันเอาหน้าหนีบธีร์ไว้ไม่ให้เบือนหน้าหนีตอนถ่ายรูป (เบี้องหลังที่เปิดเผยได้ 555)
จากนั้นเราก็ไปภูเขาพูสีไปไหว้พระธาตุพูสี...ขึ้นบันได้ไป 328 ขั้น ตอนแรกๆ ธีร์ก็เดินด้วยตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ พอเห็นป้ายบอกระยะทางว่ามีอีกกี่ขั้นที่จะต้องเดินต่อ ธีร์ก็ตกใจ...ให้ม้าใช้ทำงาน
ขึ้นไปถึงยอดภูเขา ไหว้พระธาตุ ถ่ายรูปกับวิวมุมสูงของเมืองหลวงพระบางกันด้วนสภาพแบบนี้ อี๊บีบอกว่าหม่าม้าไม่ฟิต...ไม่ยอม wii fit หม่าม้าก็โทษป๊าว่าเพราะป๊าไม่ลงทุน ป๊าตอบกลับมาว่า "ชั้นบอกให้เธอซื้อมาเล่นตั้งนานแล้ว" (ให้หม่าม้าออกเงินเอง...ชิ ชิ) ส่วนป๊าไม่มีรูป เนื่องจากโทรมมากถึงมากที่สุด (เพราะไม่ฟิตที่สุด) และมาในฐานะช่างภาพ 555ธีร์ลงจากพูสีด้วยบริการของหม่าม้า แล้วเราก็ไปเช็คอินเข้าโรงแรม เค้าบอกว่าโรงแรม The Grand Luang Prabang ของเราเป็นโรงแรม 5 ดาว แห่งเดียวริมน้ำโขง เป็นวังเก่า...หม่าม้าว่าโรงแรมก็สวยงาม แต่เป็น 5 ดาวคนละแบบกับในเมืองไทย ต้นไม้ใบหญ้าดูเป็นธรรมชาติมาก ซึ่งถ้าเป็น 5 ดาวเมืองไทยจะต้องถูกตัดเล็มให้เป็นระเบียบสุดชีวิต ที่นี่ต้นไม้เป็นธรรมชาติมากมาย รูปแนวนอนบนสุดเป็นวังเก่า (สิ่งปลูกสร้างนอกนั้นเป็นของสร้างใหม่) รูปกลางเป็นวิวจากห้องนอนของเรา
พอเก็บสมบัติ ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย เราก็ออกจากโรงแรมไปกินข้าวเย็นกัน นี่เป็นรูปอาหารรวมๆ ที่ถ่ายไว้หลายๆ วัน ซ้ายบนเป็นรูปแกงอ่อมหลวงพระบาง บอกว่าเป็นอาหารยอดนิยมของชาวหลวงพระบาง รสชาดไม่สามารถบอกได้ว่าเหมือนแกงอ่อมเมืองไทยมั้ย...เพราะหม่าม้ากินแกงอ่อมเป็นครั้งแรกในชีวิตที่นี่ เหอ เหอ เหอ...นอกจากนี้ กงและป๊าก็ได้ตกเป็น "เขยลาว" โดยสมบูรณ์ 555 เขียนเองขำเอง...มุขหม่าม้าเสร่อมาก ที่จริงแล้วมันต้องอ่านว่า เบียร์ลาวต่างหาก
ขึ้นไปถึงยอดภูเขา ไหว้พระธาตุ ถ่ายรูปกับวิวมุมสูงของเมืองหลวงพระบางกันด้วนสภาพแบบนี้ อี๊บีบอกว่าหม่าม้าไม่ฟิต...ไม่ยอม wii fit หม่าม้าก็โทษป๊าว่าเพราะป๊าไม่ลงทุน ป๊าตอบกลับมาว่า "ชั้นบอกให้เธอซื้อมาเล่นตั้งนานแล้ว" (ให้หม่าม้าออกเงินเอง...ชิ ชิ) ส่วนป๊าไม่มีรูป เนื่องจากโทรมมากถึงมากที่สุด (เพราะไม่ฟิตที่สุด) และมาในฐานะช่างภาพ 555ธีร์ลงจากพูสีด้วยบริการของหม่าม้า แล้วเราก็ไปเช็คอินเข้าโรงแรม เค้าบอกว่าโรงแรม The Grand Luang Prabang ของเราเป็นโรงแรม 5 ดาว แห่งเดียวริมน้ำโขง เป็นวังเก่า...หม่าม้าว่าโรงแรมก็สวยงาม แต่เป็น 5 ดาวคนละแบบกับในเมืองไทย ต้นไม้ใบหญ้าดูเป็นธรรมชาติมาก ซึ่งถ้าเป็น 5 ดาวเมืองไทยจะต้องถูกตัดเล็มให้เป็นระเบียบสุดชีวิต ที่นี่ต้นไม้เป็นธรรมชาติมากมาย รูปแนวนอนบนสุดเป็นวังเก่า (สิ่งปลูกสร้างนอกนั้นเป็นของสร้างใหม่) รูปกลางเป็นวิวจากห้องนอนของเรา
พอเก็บสมบัติ ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย เราก็ออกจากโรงแรมไปกินข้าวเย็นกัน นี่เป็นรูปอาหารรวมๆ ที่ถ่ายไว้หลายๆ วัน ซ้ายบนเป็นรูปแกงอ่อมหลวงพระบาง บอกว่าเป็นอาหารยอดนิยมของชาวหลวงพระบาง รสชาดไม่สามารถบอกได้ว่าเหมือนแกงอ่อมเมืองไทยมั้ย...เพราะหม่าม้ากินแกงอ่อมเป็นครั้งแรกในชีวิตที่นี่ เหอ เหอ เหอ...นอกจากนี้ กงและป๊าก็ได้ตกเป็น "เขยลาว" โดยสมบูรณ์ 555 เขียนเองขำเอง...มุขหม่าม้าเสร่อมาก ที่จริงแล้วมันต้องอ่านว่า เบียร์ลาวต่างหาก
การไปกับทัวร์ก็ดีตรงเรื่องอาหารการกิน การเดินทาง และที่อยู่นี่หละ ไม่ต้องปวดหัวว่าจะกินอะไรดี จะอร่อยมั้ย จะไปตามสถานที่ท่องเที่ยวยังไง จะโดนโก่งราคาค่ารถรึเปล่า กลางคืนจะนอนไหนดี.... อาหารที่ได้กินตลอดเวลาที่อยู่หลวงพระบางก็โอเค เหมือนอาหารไทย รสชาดก็ไม่ขี้เหร่ (ยืมศัพท์กู๋คิมมาใช้)
เล่าเรื่องอาหาร...อย่างแกงอ่อมหลวงพระบางเนี่ย เค้าจะใส่ "สะค่าน" (ไม่รู้สะกดถูกหรือเปล่า) ก้อนๆ สี่เหลี่ยมด้านซ้ายของชาม เห็นที่ตลาด หน้าตาเหมือนท่อนไม้ เค้าว่ากินได้เคี้ยวๆ เอาเนื้อไม้ออก คายชานออกมา ลองแล้วก็บอกไม่ถูกว่าเหมือนกินอะไร มันเป็นไม้ๆ กินแล้วจะซ่าๆ ที่ลิ้น แปลกดี
ส่วนส้มตำของหลวงพระบาง สืบทราบมาว่าที่นี่เค้าไม่ค่อยกินปลาร้ากัน หลวงพระบางจะกินกะปิมากกว่า ส้มตำเค้าก็จะใส่กะปิ ส่วนพวกลาบจะไม่มีรสข้าวคั่ว เค้าว่าจะใส่นิดเดียวเท่านั้น โฮมมี่บอกว่าลาบของเวียงจันทน์จะรสจัดจ้านกว่า ลาบหลวงพระบางก็จะใส่ตะไคร้ซอยด้วย ไม่เห็นหอมแดงนะ กินแล้วเหมือนหมูผัดใส่มะนาว ตะไคร้ สะระแหน่ 555 แต่ก็อร่อยดีเหมือนกัน
พอกินข้าวเสร็จ เราก็ไปเดินตลาดมืดกัน ตลาดมืดภาษาลาวเก๊าะแปลว่า ตลาดกลางคืน มิใช่ตลาดขายของผิดกฎหมายแต่อย่างใด แม่ค้าส่วนใหญ่เป็นชาวม้ง (ที่รัฐบาลหาอาชีพให้มาเป็นแม่ค้าพ่อค้าแทนที่จะอยู่บนเขาทำไร่เลื่อนลอย ถางป่าไปเรื่อยๆ) และของส่วนใหญ่ที่ขายก็เป็นพวกผ้าไหม ผ้าฝ้ายในรูปแบบต่างๆ ผ้าปัก สินค้ากระดาษสา โคมไฟ เสื้อยืด เดินไปตลอดถนนทั้งสายของก็หน้าตาเหมือนๆ กัน ราคาก็แล้วแต่ฝีมือในการต่อรอง แต่ส่วนใหญ่ก็ถูก เสื้อยืดตัวละ 60 บาท ใช้เงินบาทนี่แหละซื้อ ไม่ได้แลกเงินกีบ แม่ค้าไม่ค่อยลดราคาให้มาก ให้เหตุผลว่าเมื่อก่อนน่ะได้แต่เดี๋ยวนี้เงินบาทลง ไม่ค่อยได้กำไร (อัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน 1 บาท เท่ากับ 250 กีบ) ฟังดูอินเตอร์มาก...
ช้อปปิ้งกันจนหมดแรง (จริงๆ แล้วฝนตก 555) เราก็กลับโรงแรมไปนอนพักเอาแรงเพื่อไปล่องแม่น้ำโขงกันวันต่อไป
2 comments:
โอ๊ะ ไว้ จะส่งรูปที่ธีร์ทำหน้าหล่อ ไปให้ ... รูปธีร์เก็กหน้าหล่อ ถ่ายคู่กะสปอนเซอร์หลักอย่างเป็นทางการ
สนุก... ขอติดตามตอนต่อไป
มีใครมีปัญหาเหมือนเรามั้ยหนอ พี่ว่ารูปเล็กไปนิดนะคะ ดูไม่ถนัด ขอใหญ่กว่านี้อีกนิดได้มั้ยคร้า เอ... หรือตาเราเริ่มฝ้าฟางเพราะชรา :)
Post a Comment