Tuesday, May 31, 2011

อนุบาล 2/7

18 พฤษภาคม 2554 เปิดเรียนวันแรกสำหรับชั้นอนุบาล ปีนี้ธีร์อยู่ห้องเดิมคือห้อง 7 คุณครูประจำชั้นคือคุณครูเปี๊ยก ทั้งห้องมีนักเรียนทั้งหมด 27 คน ในขณะที่ห้อง 8 มีนักเรียน 20 คน

เหตุผลที่จำนวนนักเรียนไม่เท่ากันก็เพราะเค้าพูดกันว่า ใครๆ ก็อยากให้ลูกอยู่ห้องครูเปี๊ยก เพราะครูเปี๊ยกมีประสบการณ์ในการสอนนักเรียนมานาน ครูเปี๊ยกรักเด็ก สอนดี ฯลฯ หม่าม้าได้คุยกับครูเปี๊ยก ครูเปี๊ยกเล่าว่าสอนหนังสือมาตั้งแต่ปี 2506 และครูเปี๊ยกก็ถามหม่าม้าว่า "เกิดรึยังน่ะเรา" 555

เครื่องแบบสำหรับวันจันทร์
แม้ว่าวันเปิดเรียนจะไม่ใช่วันจันทร์ แต่ป๊าก็ส่งข่าวมาว่าเปิดเทอมวันแรกให้ใส่ชุดนักเรียนไป วันแรกก็ยังมั่วๆ กันบ้าง บางคนก็ใส่ชุดวันพุธมา...พอไปถึงโรงเรียน สิ่งแรกที่ต้องทำ (สำหรับทุกวัน) ก็คือเซ็นชื่อเข้างาน 555
ธีร์ผู้ซึ่งตะละลาตอนปิดเทอมอย่างมีความสุขถึงกับเอ๋อ นั่งงง ชื่อตัวเองเขียนยังไงหว่า จำไม่ได้ ตกเย็นได้รับการบ้านกลับมา 2 หน้า ให้เขียน ก-ฮ และ 1-20 ส่วนแรกทำธีร์อึ้งไป เพราะจำไม่ได้แล้วว่ามีตัวอะไรบ้าง เหอ เหอ เหอ ผลของการดูการ์ตูนมากเกินไปทำให้คนเราโง่ลง (รึเปล่านะ)

ส่วนนี่ ชุดพละสำหรับวันอังคาร ทุกวันอังคารธีร์ต้องสะพายเอาชุดเทควันโดไปด้วย อี๊บีกะโมอิ๊เคยถามว่าทำไมไม่เคยถ่ายรูปธีร์ใส่ชุดเทควันโดมาด้วย หม่าม้าตอบไปว่า หม่าม้าก็ไม่เคยเห็นธีร์ใส่ชุดเทควันโดจะถ่ายรูปมาได้ไง กร๊ากกก

วันพุธ ใส่ชุดโปโล ชุดนี้ทำให้หม่าม้าเอ๋อๆ ไปตอนอนุบาล 1 เพราะเมื่อก่อนเสื้อหน้าตาแบบนี้สำหรับหม่าม้ามันคือชุดพละ
วันนั้นเราไปโรงเรียนพร้อมกับคามินเพื่อนเลิฟของธีร์พอดี ได้ภาพสุดที่เลิฟกอดกันอย่างรักใคร หรือว่ามันกำลังจะฆ่ากันไม่มั่นใจ
ส่วนนี่คือชุดวันพฤหัสฯ ชุดกุมารทองที่หม่าม้าเรียกเอง คุณครูบอกว่านี่คือชุดไทย กางเกงหลากสีมาก ธีร์เลือกได้สีชมพูฟ้ามา วันพฤหัสฯ จะต้องหิ้วชุดว่ายน้ำไปด้วย คุณหนูมีหัดว่ายน้ำ หน้าตาระรื่นให้ถ่ายรูปทุกวัน แต่หารู้ไม่ พอลงจากรถปุ๊บคำพูดที่ธีร์พูดซ้ำๆ จนกว่าจะเดินถึงห้องเรียนทุกวันคือ "มารับธีร์เร็วๆ นะครับ มารับคนแรกเลยนะครับ"
วันศุกร์แสนสุขของธีร์ก็เป็นชุดลายสก๊อต (แลนด์ยาร์ด?) นี่แหละ ทั้งหมดตรงแหน่วววววว
ขอถ่ายรูปหน่อยค้าบบบบ
รวบรวมรูปชุดนักเรียน 5 วัน 5 ชุดสำเร็จก็เสร็จการอัพบล๊อกแต่เพียงเท่านี้ ไว้จะมาเขียนใหม่ ^__^

Tuesday, March 29, 2011

Family Trip 2011 - Day 1-3

22 มีนาคม 2554
เวลาดี ตี 5 เรา 7 ชีวิต (กง ม่า กู๋คิม โมอิ๊ หม่าม้า ป๊า แล้วก็ธีร์) ออกเดินทางจากบ้านสายสี่มุ่งหน้าไปสนามบินสุวรรณภูมิ นัดเจออี๊บีที่สนามบินฯ อี๊บีมีเรื่องตื่นเต้นจากการโดยสารแท๊กซี่โจร นั่งมาคนเดียว กระเป๋าเดินทางไว้หลังรถ แท๊กซี่เห็นหน้าตาโง่ๆ เซ่อๆ หรือไงไม่รู้ พาวนไปวนมา จากสาทรไปถึงสนามบินฯ ชาร์จไป 300 กว่าบาท แถมกะขโมยกระเป๋าเดินทางอี๊บีอีกต่างหาก ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นคนไทย อี๊บีวิ่งตามแท๊กซี่เพื่อเอากระเป๋าเดินทางคืนจนเหนื่อย แถมความเลวของมันยังไม่จบ ขับรถแล้วอยู่ๆ ก็เบรค อี๊บีผู้ซึ่งไม่มีดิสก์เบรคที่เท้าวิ่งชนท้ายรถมันจนจุก....อ่านแล้วอย่าลืมไปตามหาป้ายทะเบียนแท๊กซี่โจรแล้วโทรแจ้งศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ฯ ด้วย สาวๆ คนไหนอย่าคิดว่ามีหน้าตาเป็นอาวุธแล้วจะปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน เดินทางลำพังกรุณาอย่าประมาท

คณะทัวร์มีทั้งหมด 30 ชีวิตรวมหัวหน้าทัวร์ เดินทางสู่กวางเจาด้วยสายการบิน China Southern Airline CZ362 เครื่องออกตอน 08.40น. เครื่องบินก็ช่างใหญ่โตเสียนี่กระไร มีที่นั่งแถวละ 6 ที่นั่ง ข้างละ 3...ใหญ่โตพอๆ กับเครื่องบินนกแอร์ที่นั่งไปอุดรฯ เมื่อคราวก่อน...หนังที่ฉายในเครื่องบินก็สนุกดี แต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรนี่น่ะสิ จะไปหาจากไหนมาดูได้ฟระ อาหารในเครื่องบินก็...อ่ะนะ ไม่ได้เรื่อง ขากลับอี๊บีถึงกับบอกว่า ถ้าทำอาหารให้อร่อยไม่ได้ แจกมาม่าคัพกันคนละกระป๋องยังจะดีซะกว่า...555
ถึงกวางเจา สนามบินใหม่ของกวางเจาใหญ่โตมาก แบ่งฝั่งเป็น International กับ Domestic ได้เก่งมาก เหมือนกันเด๊ะๆ เดินเมื่อยอยู่นานตั้งแต่วันแรก โหลดกระเป๋าต่อเครื่องแล้วก็ไปกินอาหารเที่ยงตอนบ่ายสองโมง เรียบร้อยแล้วก็ฝ่าการจราจรเมืองกวางเจาไปเที่ยวอนุสาวรีย์ห้าแพะซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองกวางเจา อยากรู้ว่าทำไมต้องเป็นห้าแพะ ไปหาอ่านเอาเอง ; p
ชายหนุ่มตัวเล็กของเรานั้นช่างเก่งกล้า อุณหภูมิน่าจะประมาณ 15 องศาเซลเซียส ธีร์ก็ร่ำร้องอยากจะกินไอติม เลือกได้รสส้มผสมมะนาว ชิมแล้วยกนิ้วให้บอกว่าอร่อยเด็ด นี่เป็นครั้งเดียวที่ธีร์ใจกล้าซื้อไอติมมากิน
ฝ่ารถติดกลับไปสนามบิน กินอาหารเย็นที่สนามบิน...ร้านเดียวกันกับตอนเที่ยงนั่นแหละ แล้วก็ไปรอขึ้นเครื่องบินในประเทศที่ออกตอน 20.10น. ไปเมืองจางเจียเจี้ย มลฑลหูหนาน เมืองนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางธรรมชาติอันล้ำค่าของโลกตั้งแต่ปี 1982

ไปถึงสนามบินฯ ไกด์ท้องถิ่นชื่อไทยว่าน้องพิณมารับ ฝ่าฝนและอากาศอันหนาวเหน็บ เหน็บหนาว นั่งรถบัสไปโรงแรมเทียนจื่อ หมดไป 1 วันกับการเดินทาง ธีร์บอกก่อนนอนว่า...ธีร์อยากกลับบ้านแล้ว เมื่อไหร่เราจะกลับบ้านกัน 555

วันที่ 23 มีนาคม 2554
05.30น. ปลุกชาวไทยขึ้นมาแปรงฟัน ล้างหน้าและก้น ; p รับประทานอาหารเช้า 07.30น. ออกเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวแรก....ถ้ำราชามังกร เรื่องเล่าจากธีร์เกี่ยวกับสถานที่นี้ (ห้ามนำไปอ้างอิงแต่อย่างใด เป็นเรื่องเล่าในครอบครัวเท่านั้น 555) ถ้ำอันใหญ่โตกว้างขวางนี้เป็นสถานที่จัดปาร์ตี้ของพญามังกร นอกจากจะมีบ้านพัก ลูกหลานพักอาศัยอยู่มากมาย ยังมีนกฟีนิกซ์กลับหัว (รูปข้างล่างนี่ ด้านบนขวา ใช้จินตนาการกันหน่อย) เวลามังกรจัดปาร์ตี้ก็มีข้าวโพด ป๊อปคอร์น เห็ด บลา บลา บลาเป็นอาหาร

อันนี้รายละเอียดจริง...ภายในถ้ำแบ่งเป็น 4 ห้อง ระยะทางเดินเค้าว่าประมาณ 3 กิโลเมตร (ไปกลับ) มีหินงอกหินย้อยมากมาย เดินขึ้นบันได ลงบันได เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปดูจนสุดถึงห้องที่ 4 แล้วก็ย้อนกลับมา รูปล่างซ้ายดูแล้วจะเหมือนพระสังกัจจายน์ เพดานถ้ำจะมีน้ำตกลงมา เค้าก็เล่าว่าเป็นพระสังกัจจายน์อาบน้ำ เดินเข้าไปด้านในสุดอากาศก็จะอุ่นมาก ถึงกับต้องถอดอุปกรณ์กันหนาวหลายชั้นออกกันทีละชั้นๆ ยังกับปอกเปลือกข้าวโพดยังไงอย่างงั้นเลยทีเดียว
กลับออกมาผจญความหนาว เจอป้าคนนี้ขายมันเผาราคายุติธรรมมากมาย ประมาณ 10 กว่าหัวได้หมดนั่น 10 หยวน คาดว่ากินไม่หมดแน่ก็เลยขอซื้อมาแค่ครึ่งเดียว 6 หัว 5 หยวน มันเผาเมืองจีนแสนจะอร่อย รสชาติหวานสุดๆ กินร้อนๆ ตอนอากาศหนาวๆ แสนจะสุขใจ
หลังจากเอนจอยการกินมันเผาแล้วเราก็ไปกินอาหารเที่ยงแล้วก็ไปร้านขายผ้าห่มไหม อันนี้เคยซื้อมาจากเซี่ยงไฮ้มาใช้แล้ว ชอบมากอยู่ ใช้ได้ ใครได้ไป มีปัจจัยพอเพียงซื้อแบบบางสุดมาใช้ก็โอเคแล้ว ที่นี่มีของแถมเช่นซื้อผ้าห่มนวมแถมปลอกผ้านวม อ้อนมากเข้าก็ได้หมอนอิง ปลอกหมอน ฯลฯ มาด้วย ช้อปฯ แล้วก็ไปต่อ ไปเข้าอุทยานแห่งชาติหวู่หลิงหยวนกัน ด้วยความที่อุทยานฯ มีอาณาเขตกว้างใหญ่มากกินพื้นที่มากมาย (นึกภาพเขาใหญ่ แต่ใหญ่กว่าเขาใหญ่อีกหลายเท่า) เราก็เลยไปดูแค่จุดท่องเที่ยวสำคัญๆ ไม่มาก แต่ใช้เวลาเที่ยว 2 วัน

นักท่องเที่ยวที่เข้าไปเยี่ยมชมจะมีบัตรสมาร์ทการ์ดกันคนละใบ แต่ละใบจะมีการแสกนนิ้วโป้งขวาของแต่ละคนเอาไว้ป้องกันการมั่วนิ่ม บัตรใครบัตรมัน แสกนกันเสร็จก็ขึ้นรถไปดูวิวภาพเขียนสิบลี้กันเป็นที่แรก ที่เรียกว่าภาพเขียนสิบลี้ก็เพราะวิวมันเหมือนภาพวาด ยาวเป็นสิบลี้ นักท่องเที่ยวเช่นเรา ขยันขันแข็ง...นั่งรถรางไฟฟ้าชมวิวกันไป จะให้เดินไปเดินกลับ ฆ่ากันจะดีกว่า วิวภูเขาก็จะดูเหมือนพี่น้องสามคนบ้าง คนแก่แบกตะกร้าเก็บของบนภูเขาบ้าง พ่อแม่ลูกบ้างแล้วแต่จะจินตนาการกันไป


นังรถบัสในอุทยานฯ ไปต่อที่ลำธารแส้ทอง ตอนหน้าร้อนลำธารนี้ก็จะเป็นที่ออกกำลังกายของชาวจีน เดินเหยียบหินก้อนกลมๆ ไปตามลำธาร เราดูแล้วมันก็ธรรมดา (แบบว่าจินตนาการต่ำ ความขี้เกียจสูง ดูไปงั้นๆ อ๋อ นี่เรียกว่าลำธารแส้ทอง โอเคเห็นละ ไปต่อกันเถอะ) เดินต่อไปอีก ซักกิโลแม้ว เดินไปขึ้นรถกระเช้าขึ้นไปภูเขาสิงโต หวงสือจ้าย บนภูเขานอกจากจะมีหิมะที่ตกมาเมื่ออาทิตย์ก่อนกองไว้เละเป็นหย่อมๆ แล้วก็ยังมีลิงภูเขา มีฝนตก หมอก...ตรูขึ้นมาทำไม มองไม่เห็นอะไรเลยนะเฟ้ย หนาวก็หนาว เดินก็ไกล เมื่อยก็เมื่อย 555
กลับไปกินอาหารเย็นที่โรงแรม ก่อนกลับก็แวะไปร้านขายบัวหิมะ สอยเอาบัวหิมะกับน้ำมันงูทาแก้ปวดเมื่อยกันมาได้ นอกจากนี้ยังมีหมอชาวธิเบตที่ใช้วิชาดูฝ่ามือวินิจฉัยโรค ป๊าของธีร์ได้รับการวินิจฉัยโรค หมอใช้พลังชี่กงรีดเอาเลือดคั่งด้านหลังออกมาได้กระปุกนึง เห็นว่าตอนหมอใช้พลังชี่กงจะรู้สึกเหมือนโดนไฟช๊อต หลังจากนั้นหมอก็จะพยายามให้เรากินยาอีกหลายเดือน บางคนก็จะมีค่ายาหลายหมื่น บางคนก็ถึงกับเป็นแสน พอบอกหมอไปว่าไม่ซื้อ ไม่มีเงิน (โว้ย) หมอก็จะพยายามเกลี้ยกล่อมถึงเรื่องสุขภาพ บลา บลา บลา ใจอ่อนก็จะเสียเงินมาก ใจแข็งก็เสียน้อย หรือไม่เสียเงินเลย 555

กลับไปกินข้าวเย็นที่โรงแรม ครอบครัวเล็กๆ ของเราขอผ่านไม่ไปดูโชว์เนื่องจากเมื่อยแล้วก็เหนื่อย ธีร์ผู้ซึ่งสะบักสะบอมกับการเดินทางเท่าเทียมกับผู้ใหญ่ทุกชีวิตได้ยินว่าดูโชว์ถึงกับหูผึ่ง ธีร์จะไปดูโชว์ หม่าม้าบอกไม่ต้องไปก็ได้ลูก มันไม่มีมีช้าง ม้า อะไรให้ดูหรอก ไปนอนเหอะ....ทำลืมๆ ถูกหลอก แต่นอนไม่หลับไปซะอีกนั่น กว่าจะหลับได้ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน

วันที่ 24 มีนาคม 2554
วิวจากห้องพัก....
กลับเข้าไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติหวู่หลิงหยวนกันต่ออีก 1 วัน วันนี้อากาศดีกว่าวันวาน ท้องฟ้าเปิด ฝนไม่ตก ธีร์ตื่นมาอาบน้ำเสร็จระหว่างแต่งตัวตั้งคำถามกับป๊าว่า ใครชวนเรามาเที่ยวที่นี่กันเนี่ย.....กินอาหารเช้าแล้ว 8 โมงเช้าเราก็นั่งรถบัสของเราไปต่อของอุทยานไปต่อรถกระเช้าไปภูเขาเทียนจื่อซาน หรือภูเขาเจ้าฟ้า เดิน เดิน เดิน ไปสวนสาธารณะจอมพลเฮ่อหลง ธีร์ก็ง่วงนอน นั่งรถไปตรงไหนอุ่นๆ หน่อยธีร์ก็หลับ หลับมากเข้าปลุกไม่ตื่นก็ต้องมีร่างทรงคอยแบก อุ้มกันไป รู้สึกเศร้าที่ลืมรถเข็นไว้ที่บ้านซะงั้นทั้งๆ ที่เตรียมไว้ซะดิบดี ชิส์

จากยอดเขาเราก็ลงลิฟต์แก้ว ใช้เวลาลงลิฟต์แค่ 1.58นาที ไม่มีอาการวูบวาบอะไรทั้งนั้นเพราะเราอยู่ข้างหลัง มองไม่เห็นวิวบ้าอะไรเลย (เชอะ) ลงมาด้านล่าง ต่อรถของอุทยานกลับ
ก่อนกลับโรงแรมของจริง แวะร้านขายชา ชิมชากันบ้างอะไรบ้างก่อนที่เค้าจะปล่อยเราไปเดินเล่นช้อปปิ้งในตลาดเล็กๆ
อากาศหนาว เราก็เดินดูตลาดกัน ซื้อขนมปังมาชิมบ้าง เข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตซื้อของกินบ้าง ก็สนุกดี รูปล่างซ้ายสุดเป็นตะกร้าอุ้มเด็กของคนจีน ไกด์บอกว่าราคาไม่ถึง 300 บาทมั้ง น่าจะนั่งสบาย ภูมิปัญญาชาวจีน
และเนื่องจากในห้องไม่มีตู้เย็น ป๊าธีร์ผู้ชื่นชอบโค้กเย็นๆ ก็เลยต้องเอาโค้กไปไว้ที่ระเบียงห้อง...ตู้เย็นธรรมชาติอันใหญ่โตของเรา 555
อ้อ ลืมบอกไป จางเจียเจี้ยนี่เป็นภูเขาที่หนังเรื่อง avatar เอาวิวไปทำคอมพิวเตอร์กราฟฟิคให้เป็นฉากในหนังน่ะ...ใครจะไป เตรียมหางไว้ไปเชื่อมต่อกับนกยักษ์ด้วยล่ะ 555

Family Trip 2011 - Day 4-6

วันที่ 25 มีนาคม 2554
เมืองโบราณเฟิ่งหวาง คำว่าเฟิ่งหวางภาษาอังกฤษก็คงแปลว่านกฟีนิกซ์นั่นแหละ เป็นหมู่บ้านโบราณอายุเป็นร้อยปี ตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงและชิง เป็นหมู่บ้านของชาวถู่เจีย แปลอีกทีก็คือชาวแม้ว (ไกด์เล่าว่าเรื่องยาสั่งของชาวแม้วนั้นยังคงมีอยู่ด้วยนะเออ)

คืนที่ผ่านมาเรานอนพักอยู่ที่โรงแรมซึ่งก็อยู่ข้างๆ หมู่บ้านนี่เอง ทำให้การเดินทางไปเยี่ยมชมหมู่บ้านง่ายดายยิ่งนัก เดินเข้าปากทางก็เห็นปู่คนนี้ออกกำลังกาย ปกติในปักกิ่งจะเห็นเยอะกว่านี้ตามสวนสาธารณะ วิธีออกกำลังกายของเค้าก็คือใช้พู่กันยักษ์เขียนตัวอักษรจีนบนพื้นถนน...เก๋ซะ
ในเมืองตอนกลางวัน ซึ่งปัจจุบันก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวก็เป็นเหมือนตลาด มีของที่ระทึก เอ้ย...ที่ระลึกขายกันกลาดเกลื่อน ของขึ้นชื่อก็คือ....ตังเมขิง มีขายกันเป็นสิบร้าน ไกด์บอกว่าแต่ละร้านก็รสชาดต่างกัน แล้วแต่สูตรประจำตระกูล เราเลือกร้านที่ไกด์แนะนำว่าสะอาด รสชาดดี
โปรแกรมของวันนี้คือล่องเรือในแม่น้ำ ชมบ้านเรือนริมน้ำที่ยังคงเหมือนสมัยเมื่อร้อยปีก่อน เป็นบ้านเสาสูง เหมือนบ้านไทยสมัยก่อนที่ใต้ถุนเรือนจะเลี้ยงสัตว์กัน แต่เดี๋ยวนี้ก็เห็นเสาอยู่แต่ก็ปิดทำห้องกันหมด นอกจากล่องเรือแล้วเราก็ไปเยี่ยมชมบ้านของเสิ่นฉงเหวิน เค้าเป็นนักเขียน นักประวัติศาสตร์แล้วก็นักการศึกษาที่มีชื่อเสียงมากของคนจีนที่มีพื้นเพเป็นชาวเฟิ่งหวางนี่แหละ

ล่องเรือเสร็จแล้วไกด์ก็ปล่อยให้เราเดินเล่นอิสระ ซื้อของกันตามอัธยาศัย

เนื่องจากการเดินทางจากเมืองจางเจียเจี้ยมาถึงเมืองเฟิ่งหวางเมื่อวานใช้เวลานาน 5 ชั่วโมง โดยระยะทาง 1.30ชั่วโมงสุดท้ายเป็นทาง 2 เลน ถนนแย่มากเต็มไปด้วยหลุมและบ่อ ทำให้เมารถกันเป็นทิวแถว ของกินที่ว่าน่าลองก็ลองไม่ได้มาก เดินไปเดินมาเริ่มหิว ชิมซักหน่อย อันที่หม่าม้าชิมไปก็คือเต้าหู้จี่กับกระทะ โรยด้วยเครื่องเทศแล้วก็พริก รสชาดก็เค็มๆ มีกลิ่นยี่หร่าขึ้นจมูก ถ้วยนึงก็ 15 บาท ปริมาณพอขำ กินไปครึ่งนึงแล้วนึกได้ว่า ตรูปวดท้อง ท้องอืดนี่หว่า ดีไม่ดีจะท้องเสียเอา พอรู้รสแล้วก็ลงขยะไป 555
บ้านอื่นเค้าไปซื้ออะไรเราไม่รู้ บ้านเราก็เดินตามรอยไกด์นำไปขึ้นเรือ...มุ่งหน้าไปชิมของอร่อยที่เค้าว่า....ปาท่องโก๋ตัวยาวๆ เหมือนที่ฮ่องกง ซื้อมาเป็นปาท่องโก๋สามัคคี ตัวละ 5 บาท กินกัน 7 คน ยกเว้นธีร์ที่ยังเมารถอยู่กินอะไรไม่ลงแถมอ้วกอีกต่างหาก ชิมกันคนละหน่อย หม่าม้าเห็นว่าแป้งนุ่ม ข้างนอกกรอบดี เสียแค่ว่าน้ำมันดำยังกับน้ำมันดิบที่เพิ่งขุดขึ้นมาจากอ่าวเปอร์เซีย ทำให้ปาท่องโก๋ขมๆ ซะงั้น
กินปาท่องโก๋แล้วต่อไปก็ไปร้านขายน้ำถั่วที่ไกด์บอกว่าอร่อย (อีกละ) มีน้ำถั่วดำ ถั่วเขียว ถั่วเหลือง แล้วก็ถั่วลิสง รสชาดที่ชิมแก้วละคำก็คือ มันมิใช่น้ำเต้าหู้ แต่มันคือน้ำถั่วปั่น กร๊ากกกก
คนอื่นมุ่งหน้าไปช้อปปิ้งถ่ายรูป เรา 3 คนพ่อแม่ลูกมุ่งหน้าต่อไปอีกเล็กน้อย ภารกิจของเราคือไปซื้อของเล่นที่ธีร์หมายตาไว้ ตาไวมากมายตอนขาไป เห็นของเล่น plants vs zombies ที่ทำด้วยกระดาษเป็นเหรียญกลมๆ มีตัว plants แล้วก็ zombies ครบถ้วน ซองละ 2.50 บาท ซื้อมา 10 ซองไว้แบ่งปรานต์ด้วย
เดินกลับไปตามเวลานัด กินอาหารเที่ยง กินยาแก้เมารถ แล้วก็เดินทางมหาโหดไปตามถนน 3 ฉี่ คือแวะฉี่ทุก 2 ชั่วโมง 1.30ชั่วโมงแรกก็ผ่านไอ้ถนนขี่ม้า (ตามคำไกด์) ถนนเดิมที่เพิ่งมาเมื่อวาน มุ่งหน้าไปเมืองฉางซา สิริรวมเวลาเดินทาง 7 ชั่วโมง

ฉางซาเป็นเมืองหลวงของมณฑลหูหนาน หลังจากไปอยู่ป่ากับหมู่บ้านในดอยมาซะนาน ได้เห็นแสงสี และตึกสูงในที่สุด ป้าแก่ๆ หลังรถบ่นอาหารเป็นพิษ และเมารถกันมาก ไกด์ให้เวลาไปเดินช้อปปิ้ง 1 ชั่วโมง แถมรถก็เข้าไปใกล้ถนนช้อปปิ้งไม่ได้ ต้องเดินอีก 15 นาทีจากจุดที่รถจอดไปช้อปปิ้ง
บ้านเรามุ่งมั่นจะไป wal-mart ไปซื้อพวกขนมเล็กน้อยเป็นของฝาก ระหว่างทางก็เจอ "ถางหูหลู" หรือผลไม้เสียบไม้ชุบน้ำตาล เห็นกันเกลื่อนกลาดที่ปักกิ่งตอนหนาวๆ ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูหรือยังไงไม่แน่ใจ สตรอเบอรี่ล้วนไม้ละ 40 บาท เมื่อก่อนซื้อได้ในราคา 25 บาทขาดตัว
เดินไปถึงแมคโดนัลด์ซื้ออาหารเติมพลังให้ธีร์ที่ไม่ยอมกินอะไร แล้วก็ไป wal-mart แค่เดินเข้าไปเห็นแถวที่ต่อคิวจ่ายเงินก็เลิกซื้อ ดูเวลาแล้วอีกแค่ 15 นาทีถึงเวลานัด ตรูยังไม่ได้ซื้ออะไรเลย คิวก็ยาว เดินกลับก็แล้วกัน เดินกลับไปถึงจุดนัดพบเพื่อพบว่า ป้าที่บ่นมากมายว่าจะขอกลับโรงแรมก่อนเนื่องจากอาหารเป็นพิษ เมารถ ไปไม่ไหว อยากนอน พวกป้าไปนั่งจิบชารออยู่แถวนั้น ฮ่วย!!!

โรงแรมที่ไปพักวันนี้เป็นโรงแรมระดับ 5เอ ห้องนอนกว้างขวางสไตล์ยุโรป เป็นเมืองประมาณเมืองทองธานี มีทุกอย่างอยู่ในเกาะนั้น สนามกอล์ฟ โรงเรียน ซุปเปอร์มาร์เก็ต สนามเทนนิส บลา บลา บลา ถึงโรงแรมก็ดึกมองอะไรไม่เห็น เหนื่อยก็เหนื่อย ลูกชายก็สลบไปเยี่ยงนี้
วันที่ 26 มีนาคม 2554
วันสุดท้ายของการท่องเที่ยว วันนี้จะไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์หม่าหวังตุย ของที่ขึ้นชื่อของพิพิธภัณฑ์ก็คือ "ศพ" กับ "ชุดผ้าไหม"

พิพิธภัณฑ์นี้เป็นที่เก็บรักษาของที่ขุดค้นพบจากสุสานของป้าคนรวยอายุ 2000 กว่าปีที่ชื่อ "ซือจวย" ตายตอนอายุประมาณ 50 ปี ในฤดูร้อน สามีและลูกชายไม่ได้พบด้วยกัน ที่รู้ว่าตายตอนฤดูร้อนเพราะในกระเพาะอาหารพบเมล็ดทานตะวัน เมล็ดแตงโม ซึ่งเป็นอาหารฤดูร้อน ป้าตายเพราะเม็ดๆ ที่กินไปติดคอ สำลักตาย!!!

ศพของป้าขึ้นชื่อลือชาก็เพราะศพที่ค้นพบนั้นยังมีเนื้อ ข้อต่อยังงอได้ เส้นเลือดไม่ตีบ มีเล็บด้วย ไม่เรียกว่ามัมมี่เพราะไม่ได้แห้งแข็ง แต่เป็นศพชื้นมากกว่า

มีหุ่นขี้ผึ้งจำลองว่าหน้าตาของป้าตอนมีชีวิตอยู่จะหน้าตาอย่างไร และอีกอย่างก็คือมีเสื้อคลุมผ้าไหมของป้ามีน้ำหนักไม่เกิน 50 กรัม (กี่กรัมจำไม่ได้แน่) ไกด์เล่าว่า ถึงแม้ว่าวิวัฒนาการในปัจจุบันจะก้าวหน้ามากมาย แต่ก็ยังไม่สามารถทอผ้าไหมให้มีน้ำหนักน้อยเท่าของป้าได้ หน้าตาเสื้อคลุมที่ยังคงสภาพสมบูรณ์เกือบ 100 ปูเซ็งก็คือรูปล่างซ้าย
สุสานที่ค้นพบกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่มาก สิ่งของที่ค้นพบในสุสานยังคงสภาพดี เนื่องจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น มีดินขาวเป็นชั้นหนาอยู่ด้านนอกโลงศพรักษาไม่ให้แมลงเข้ามาได้ ฯลฯ มีรูปหม้อดินเผาที่ใส่แกงจืดรากบัวด้วย ตอนเปิดขึ้นมา "เขาเล่าว่า" ยังมีกลิ่นหอมอยู่เลย แต่พอเวลาผ่านไปไม่ถึงนาทีมันก็สิ้นสภาพไป แต่มีรูปที่ถ่ายไว้ได้มาโชว์ให้เห็นรากบัวเป็นชิ้นๆ เลยทีเดียว รูปด้านล่างแสดงการขุดค้น และสภาพโลงของป้าเค้า โลงจะอยู่ตรงกลาง ด้านข้างก็มีการใส่ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น ภาชนะจักสาน ภาชนะดินเผา ตุ๊กตาของเล่น ตุ๊กตาคนรับใช้ ตุ๊กตานักดนตรี เมล็ดพืช หนังสือ เครื่องใช้ต่างๆ นานา
อันนี้คือสิ่งที่หม่าม้าประทับใจมาก ไกด์บอกว่าเป็นโมเดลจำลองระบบสุริยจักรวาลที่อ่านมาจากหนังสือในสุสานของป้าเค้า แสดงให้เห็นว่าชาวจีนมีความรู้เกี่ยวกับระบบสุริยจักรวาลอย่างไร กลมๆ ขาวๆ ตรงกลางเป็นพระอาทิตย์ ถัดไปด้านซ้ายมีกลมๆ เล็กๆ สีเขียวๆ เป็นโลก ข้างๆ โลกจะมีดวงจันทร์ แล้วก็มีดาวต่างๆ เกือบครบ เนื่องจากหม่าม้าอ่านภาษาจีนไม่ออก ก็ไม่ไม่รู้ว่าจริงหรือ แต่ก็คงมีส่วนของความจริงแหละ ล้ำจริงๆ ชาวจีน
กลุ่มรูปด้านล่างนี่ ซ้าย-บน แสดงให้เห็นว่าหลุมศพป้าลึกแค่ไหน ขวาบนเป็นเก้าอี้ของป้าเค้า แคบมากประมาณแค่คืบเดียว เคยฟังสัมภาษณ์อ.สุวินัยบอกว่า เก้าอี้จีนจะมีแค่นี้ แค่วางก้น ไม่เหมือนเก้าอี้ปัจจุบัน นั่งแล้วมันจะทับเส้นใต้ต้นขา ทำให้เส้นยึดอะไรประมาณนี้ ส่วนล่างซ้ายเป็นไม้ที่ประกอบกันเป็นโลงสี่เหลี่ยมที่เห็นข้างบนที่ทำเป็นกล่องๆ ไม้ใหญ่มาก ขนาด 6.7ม x 4.8ม. สูง 2.8ม. ไม้หนาซัก 1 ฟุตได้ ต้นไม้ที่ป้าให้เค้าไปตัดมาทำโลงคงอายุเป็นพันปีได้ แถมป้าก็ไม่ได้นอนอยู่ในกล่องไม้นี่นะ มีโลงใส่ป้าอีก 4 ชั้น แต่ละชั้นมีลวดลายวิจิตรมากมาย ถ้าไม่รวยจริงคงทำไม่ได้แบบป้า

เดินดูจนทั่ว อีกส่วนของพิพิธภัณฑ์ก็จะแสดงเครื่องปั้นดินเผา เครื่องสำริด ฯลฯ น่าสนใจมากมาย เดินดูจนครบออกมา ไกด์บอกว่าเหลือแค่เรา 5 คนสุดท้าย คนอื่นดูเสร็จขึ้นรถกันแล้ว อุเหม่ เดินพิพิธภัณฑ์กันเร็วจริงวุ้ย
จากพิพิธภัณฑ์เราก็มุ่งหน้าไปสถานีรถไฟความเร็วสูงเพื่อขึ้นรถไฟไปกวางเจา มื้อนี้กินแมคโดนัลด์ หม่าม้าไปช่วยรอ+ขนเบอร์เกอร์ไปแจกจ่าย ระหว่าไกด์ไปดูว่าต้องขึ้นรถไฟชานชาลาไหน

กินกันไป รถไฟจะจอดสถานีแค่ไม่เกิน 3 นาที ยังไม่ทันลงบันไดเลื่อนรถไฟก็มาถึงสถานีแล้ว เบอร์เกอร์ในมือก็ถือไปกินไปและเดินไป ลงบันไดมาก็ลากลู่ถูกังกระเป๋าเดินทาง หอบลูกขึ้นรถไฟ เห็นแววว่าจะขึ้นไม่ทันก็วิ่งเข้ารถไฟไปก่อน ไม่ถึงโบกี้ของเราก็เข้าไปก่อน เดี่ยวพลาด ปรากฎว่ามีป้า 2 คนทะลึ่งลงลิฟต์ไปผิดชั้นทำให้เกิดอาการเสียวสันหลังวาบๆ ว่าป้าจะหายไป แต่ในที่สุดทุกคนในคณะทัวร์ก็ขึ้นรถไฟกันได้ครบถ้วน

ความเร็วสูงสุดที่สังเกตคือ 340 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามข้อมูลบอกว่าวิ่งได้เร็วสุด 352 กม/ชม จากฉางซาถึงกวางเจาใช้เวลา 2 ชั่วโมง สถานีรถไฟใช้ระบบเดียวกับสนามบิน แสกนกระเป๋าเดินทางทุกใบ ไม่อนุญาตให้นำของมีคมทุกชนิดขึ้นรถไฟ
ถึงสถานีกวางเจา ลงรถไฟแล้วเดินมาถึงทางออกทุกคนแทบสลบ เราต้องลากกระเป๋าเดินทางลงบันได 3 พัก ช่วยกันผ่านมาอย่างทุลักทุเล เดินต่อมาอีกหน่อยก็พบว่า ต้องลากกระเป๋าขึ้นบันไดไปอีกเท่ากับที่เดินลงมา 555

วันนี้เดินทางทั้งวัน ออกจากสถานีรถไฟก็ต่อรถบัสไปสนามบิน กินข้าวที่ร้านอาหารร้านเดิมในวันแรก รอเครื่องบินที่ดีเลย์ไปครึ่งชั่วโมงกลับถึงเมืองไทยตอน 4 ทุ่ม นั่งรถตู้ที่นัดไว้ให้มารับกลับบ้านสายสี่ ลงรถตู้ ขับรถของเราต่อมาที่บ้านหนองดินแดงท่ามกลางสายฝนโปรยปรายและอุณหภูมิไม่แตกต่างจากกวางเจาที่จากมา....ตรูลงเครื่องบินผิดที่รึเปล่าเนี่ย

สรุปว่าทริปที่แสนเหน็ดเหนื่อยกับทั้งการเดินเท้าและการเดินทางของเราก็จบลงในที่สุด คำถามของธีร์ที่ว่า "ใครชวนเรามานี่" ยังขำอยู่ ป๊าของธีร์บอกว่าเมืองจีนน่าประทับใจในความใหญ่โต ความอลังการของสถานที่ แต่ทำไม๊ ทำไมห้องน้ำไม่มีการพัฒนาเลยฟระ ทำให้ทุกคนมัวแต่พะวงถึงแต่ว่าห้องน้ำสะอาดรึเปล่า หม่าม้าเห็นว่าห้องน้ำดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังเหมือนเมื่อ 10 ปีก่อนอยู่ดีนั่นแหละหว่า

ส่วนธีร์ ถามว่าไปเมืองจีนอีกมั้ยจะได้รับคำตอบว่าไม่ไปละ เหนื่อยก็เหนื่อย เมื่อยก็เมื่อย หนาวก็หนาว 555

Saturday, February 12, 2011

Day trip to Hua Hin

12 ก.พ. 54 ธีร์ตื่นมาตอน 7 โมงเช้า คำพูดแรกคือ "โชคดีจริงวันนี้วันหยุด" หม่าม้าดับฝันเด็ก บอกไปว่า "ใครบอก วันนี้วันศุกร์ต่างหาก" ธีร์อึ้งไปนิดนึง แล้วก็ทำเสียงเครือ ตาแดงๆ ปากแบะๆ ตอบกลับมาว่า "ไม่ใช่ วันศุกร์ผ่านไปแล้วเมื่อวานนี้ ไม่เชื่อไปโรงเรียนดูก็ได้ว่าปิดรึเปล่า" ว่าแล้วก็นั่งนิ่งนึกอยู่พักนึง จากนั้นก็กระโดดลงจากเตียง เดินตุ้บตั้บไปที่ตู้เสื้อผ้าของตัวเอง หยิบเสื้อเชิ้ตพร้อมกางเกงในออกมาแขวนไว้หน้าตู้ ประกาศกร้าวว่าวันนี้จะใส่ชุดนี้แหละ...เหมือนว่าจะขาดกางเกงนะลูก 555

หลังจากเฉลยว่าหม่าม้าแกล้งธีร์ ธีร์ก็งอนตุ๊บป่องไปซักพัก หม่าม้าช่างกระไร ดับฝันเด็กน้อยว่าจะได้หยุดเรียน 2 วัน...ธีร์ช่างรักเรียนเสียนี่กระไร

และด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจอย่างสูงสุดว่าจะไปกินอาหารอิตาเลี่ยนที่หัวหิน เรา 3 คนงดเดินทางไปบ้านสายสี่อาทิตย์นี้ แล้วก็ออกจากบ้านแต่สาย มุ่งหน้าไปหัวหินกัน ออกจากบ้าน จุดมุ่งหมายแรกของเราคือ ข้าวขาหมูบางหว้า...ขับรถไปแค่อึดใจก็หยุดกินข้าว กินกันเสร็จกลับบ้านกันได้ละ พอจะอิ่มแล้ว เหอ เหอ เหอ

เที่ยงถึงหัวหิน ไม่พูดพล่ามทำเพลง เราก็จอดรถแล้วก็เดินไปร้านอาหารอิตาเลี่ยนในดวงใจ เพื่อไปกินสปาเก็ตตี้กัน
นอกจากสปาเก็ตตี้แล้ว ท้องยุ้งพุงกระสอบอย่างเราก็ยังกินสลัด เพิ่มไฟเบอร์ในร่างกายซักเล็กน้อย พิซซ่า และ ขนมหวานกันอย่างเอร็ดอร่อย
กินข้าวเสร็จจะกลับบ้านเลยก็ดูมุ่งมั่นจะกินกันเกินไปหน่อย เดินไปชายหาดซักเล็กน้อย ธีร์ก็เลยได้ไปขี่ม้าเล่นซัก 15 นาที ชมวิว ใส่ชุดกันเต็มยศ เสื้อเชิ้ต ผูกหูกระต่าย ใส่แว่นกันแดด เดินไปไหนมีแต่คนมองธีร์ แล้วก็หันมายิ้มกรุ้มกริ่มให้กับหม่าม้า
ขากลับ แวะซื้อขนมที่บ้านนันทวัน สองพ่อลูกรอในรถ พอหม่าม้าซื้อของเสร็จกลับขึ้นรถ ธีร์บอกว่า "ปวดอึ"!!! ทุกคนอพยพร่างกายลงจากรถไปพักขากันซักหน่อย ทำธุระเรียบร้อย เราก็ไปช้อปปิ้ง ดื่มกาแฟในร้านด้านหลัง ร้านสวยมิใช่น้อย แถมมี"ไวไฟ"ให้ใช้ฟรีซะด้วย

รูปนี้ต้องใส่ caption ว่า "แว่นธีร์นะ" แต่ในความเป็นจริง...ของหม่าม้าเฟ้ย สองพ่อลูกทำเนียน
แย่งชิงแว่นกลับมาได้ก็ดีใจ
ชุด "โคนัน" เต็มยศของเค้าล่ะ แว่นตา หูกระต่าย และนาฬิกา...
หม่าม้าทำหน้าที่พลขับ ขับรถกลับบ้าน มาถึงก็เจอโปสการ์ดที่คุณครูให้เขียนที่อยู่เมื่ออาทิตย์ก่อน ถามธีร์ ธีร์ก็ไม่ยอมบอกว่าจะส่งอะไรมา ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง....
สุขสันต์วันวาเลนไทน์ล่วงหน้าด้วยนะค้าบบบบ

Sunday, January 23, 2011

กีฬาสี 2554

22 มกราคม 2554 ปีนี้เป็นกีฬาสีปีแรกของธีร์ และครั้งแรกของครอบครัวเรา ธีร์อยู่สีขาว รับหน้าที่เป็นเชียร์ลีดเดอร์

ครั้งแรกหม่าม้าก็คิดว่าคุณครูคงเลือกเอาว่าจะให้ใครไปเป็นเชียร์ลีดเดอร์ เหมือนกับทุกครั้งที่เลือกเด็กๆ ไปแสดงบนเวที แต่ไปๆ มาๆ ได้ความว่าคุณครูถามความสมัครใจว่าใครอยากเป็นเชียร์ลีดเดอร์ให้สมัครได้ ธีร์ยกมือสมัครไปเอง....พอถามว่าธีร์รู้เหรอว่าเชียร์ลีดเดอร์ทำอะไรบ้าง ธีร์ก็ตอบว่าไม่รู้หรอก

การเป็นเชียร์ลีดเดอร์ก็ต้องทำการซักซ้อมล่วงหน้าเป็นเวลานาน ต้องสละเวลานอนพักตอนเที่ยงไปเป็นเดือน หม่าม้าถามว่าทำไมไม่ไปเป็นนักกีฬา ธีร์ตอบว่านักกีฬาน่ะเหนื่อย!!!

นอกจากการซักซ้อมของธีร์แล้ว หม่าม้าก็ต้องมีส่วนร่วมคอยร้องเพลงเชียร์กับธีร์ สละทรัพย์เป็นค่าชุด และร่วมเล่นเกมส์ amazing race ค้นหารองเท้าลีดฯ อยู่หลายห้าง ไปเจอที่เซ็นทรัลในที่สุด....

และวันกีฬาสีก็มาถึง เกือบ 8 โมงครึ่ง ผอ. มาเปิดงาน เด็กๆ ที่เตรียมตัวแต่ไก่โห่ก็ยืนรอกันขาแข็งไปหน่อย เปิดงานเด็กๆ ก็มีการวิ่งคบเพลิง ไฟลุกโชติช่วงเป็นที่น่ากลัวยิ่งนัก
จากการวิ่งคบเพลิง ก็มีการเดินพาเหรดจากหน้าประตู อ้อมเข้าซอยข้างโรงเรียน เดินวนข้ามคลองไป กลับมาที่ซอยข้างโรงเรียนเข้าทางประตูใหญ่เหมือนเดิม...จะเดินอะไรกันมากมายขนาดนั้น เดินวนรอบสระน้ำก็คงพอ ไม่ร้อน ไม่เหนื่อยกันนัก สรุปว่า 2 หน่วยที่มีจักรยานนี่สบายสุดในขบวนเป็นแน่แท้
ขบวนพาเหรดก็มีการแต่งตัวสารพัดรูปแบบ อย่างเช่น....
และนี่...
คุณเชียร์ลีดเดอร์แต่งชุดสุดหล่อมา ครูบอกให้มาถึงก่อน 7 โมง กว่าคุณลีดฯ จะเรียบร้อยพร้อมออกเดินทางก็ 7.15น. เข้าไปล่ะ
ตอนแรกก็ให้ความร่วมมือยิ้มแย้มแจ่มใสให้ถ่ายรูปแต่โดยดี
หลังๆ เริ่มมีท่าประหลาด
งานนี้อี๊บีเดินทางจากกรุงเทพฯ มาร่วมงานกีฬาสีครั้งแรก มาเป็นกองเชียร์ส่วนตัวของเชียร์ลีดเดอร์....
กีฬาสีดำเนินไปเรื่อยๆ พ่อ-แม่-ลูกบางส่วนก็ชะแว้บแช้บๆ ไป เรา 2 แม่ลูกก็เลยจับพลัดจับผลูได้ไปเป็นนักกีฬาแข่งแต่งตัวกันกับแม่ลูกอีกคู่นึง สรุปว่าสีเราแพ้ นี่ถ้ามีแต่เรา 2 คนก็คงได้ที่ 1 แล้วแหละ 555
คุณเชียร์ลีดเดอร์ทำหน้าที่โดยดี ไม่มีงอแง มีอู้บ้างเล็กน้อยเพื่อกินขนมและเข้าห้องน้ำ ธีร์บอกตอนเข้าห้องน้ำว่าเป็นลีดฯ นี่เหนื่อยชะมัดเลย ธีร์ไม่อยากเป็นแล้ว ในที่สุดความจริงก็ปรากฎ หม่าม้ารีบบอกธีร์ว่าปีหน้าก็ไม่ต้องสมัครนะครับลูก ไปเป็นนักกีฬาเหอะ เหนื่อยแค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ ธีร์ทำหน้าไม่เชื่อถือ
ปีนี้ผลการแข่งขันสรุปว่าสีฟ้าชนะได้เหรียญทองไปมากสุด แต่สีขาวของเราก็ได้เหรียญรวมมากที่สุด สีม่วงกองเชียร์ชนะเลิศได้ถ้วยรางวัลไปครอง
สนุกสนาน และเหน็ดเหนื่อยกันไปตามๆ กัน ปีหน้าเจอกันใหม่ค้าบคุณกีฬาสี