Tuesday, March 29, 2011

Family Trip 2011 - Day 1-3

22 มีนาคม 2554
เวลาดี ตี 5 เรา 7 ชีวิต (กง ม่า กู๋คิม โมอิ๊ หม่าม้า ป๊า แล้วก็ธีร์) ออกเดินทางจากบ้านสายสี่มุ่งหน้าไปสนามบินสุวรรณภูมิ นัดเจออี๊บีที่สนามบินฯ อี๊บีมีเรื่องตื่นเต้นจากการโดยสารแท๊กซี่โจร นั่งมาคนเดียว กระเป๋าเดินทางไว้หลังรถ แท๊กซี่เห็นหน้าตาโง่ๆ เซ่อๆ หรือไงไม่รู้ พาวนไปวนมา จากสาทรไปถึงสนามบินฯ ชาร์จไป 300 กว่าบาท แถมกะขโมยกระเป๋าเดินทางอี๊บีอีกต่างหาก ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นคนไทย อี๊บีวิ่งตามแท๊กซี่เพื่อเอากระเป๋าเดินทางคืนจนเหนื่อย แถมความเลวของมันยังไม่จบ ขับรถแล้วอยู่ๆ ก็เบรค อี๊บีผู้ซึ่งไม่มีดิสก์เบรคที่เท้าวิ่งชนท้ายรถมันจนจุก....อ่านแล้วอย่าลืมไปตามหาป้ายทะเบียนแท๊กซี่โจรแล้วโทรแจ้งศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ฯ ด้วย สาวๆ คนไหนอย่าคิดว่ามีหน้าตาเป็นอาวุธแล้วจะปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน เดินทางลำพังกรุณาอย่าประมาท

คณะทัวร์มีทั้งหมด 30 ชีวิตรวมหัวหน้าทัวร์ เดินทางสู่กวางเจาด้วยสายการบิน China Southern Airline CZ362 เครื่องออกตอน 08.40น. เครื่องบินก็ช่างใหญ่โตเสียนี่กระไร มีที่นั่งแถวละ 6 ที่นั่ง ข้างละ 3...ใหญ่โตพอๆ กับเครื่องบินนกแอร์ที่นั่งไปอุดรฯ เมื่อคราวก่อน...หนังที่ฉายในเครื่องบินก็สนุกดี แต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรนี่น่ะสิ จะไปหาจากไหนมาดูได้ฟระ อาหารในเครื่องบินก็...อ่ะนะ ไม่ได้เรื่อง ขากลับอี๊บีถึงกับบอกว่า ถ้าทำอาหารให้อร่อยไม่ได้ แจกมาม่าคัพกันคนละกระป๋องยังจะดีซะกว่า...555
ถึงกวางเจา สนามบินใหม่ของกวางเจาใหญ่โตมาก แบ่งฝั่งเป็น International กับ Domestic ได้เก่งมาก เหมือนกันเด๊ะๆ เดินเมื่อยอยู่นานตั้งแต่วันแรก โหลดกระเป๋าต่อเครื่องแล้วก็ไปกินอาหารเที่ยงตอนบ่ายสองโมง เรียบร้อยแล้วก็ฝ่าการจราจรเมืองกวางเจาไปเที่ยวอนุสาวรีย์ห้าแพะซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองกวางเจา อยากรู้ว่าทำไมต้องเป็นห้าแพะ ไปหาอ่านเอาเอง ; p
ชายหนุ่มตัวเล็กของเรานั้นช่างเก่งกล้า อุณหภูมิน่าจะประมาณ 15 องศาเซลเซียส ธีร์ก็ร่ำร้องอยากจะกินไอติม เลือกได้รสส้มผสมมะนาว ชิมแล้วยกนิ้วให้บอกว่าอร่อยเด็ด นี่เป็นครั้งเดียวที่ธีร์ใจกล้าซื้อไอติมมากิน
ฝ่ารถติดกลับไปสนามบิน กินอาหารเย็นที่สนามบิน...ร้านเดียวกันกับตอนเที่ยงนั่นแหละ แล้วก็ไปรอขึ้นเครื่องบินในประเทศที่ออกตอน 20.10น. ไปเมืองจางเจียเจี้ย มลฑลหูหนาน เมืองนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางธรรมชาติอันล้ำค่าของโลกตั้งแต่ปี 1982

ไปถึงสนามบินฯ ไกด์ท้องถิ่นชื่อไทยว่าน้องพิณมารับ ฝ่าฝนและอากาศอันหนาวเหน็บ เหน็บหนาว นั่งรถบัสไปโรงแรมเทียนจื่อ หมดไป 1 วันกับการเดินทาง ธีร์บอกก่อนนอนว่า...ธีร์อยากกลับบ้านแล้ว เมื่อไหร่เราจะกลับบ้านกัน 555

วันที่ 23 มีนาคม 2554
05.30น. ปลุกชาวไทยขึ้นมาแปรงฟัน ล้างหน้าและก้น ; p รับประทานอาหารเช้า 07.30น. ออกเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวแรก....ถ้ำราชามังกร เรื่องเล่าจากธีร์เกี่ยวกับสถานที่นี้ (ห้ามนำไปอ้างอิงแต่อย่างใด เป็นเรื่องเล่าในครอบครัวเท่านั้น 555) ถ้ำอันใหญ่โตกว้างขวางนี้เป็นสถานที่จัดปาร์ตี้ของพญามังกร นอกจากจะมีบ้านพัก ลูกหลานพักอาศัยอยู่มากมาย ยังมีนกฟีนิกซ์กลับหัว (รูปข้างล่างนี่ ด้านบนขวา ใช้จินตนาการกันหน่อย) เวลามังกรจัดปาร์ตี้ก็มีข้าวโพด ป๊อปคอร์น เห็ด บลา บลา บลาเป็นอาหาร

อันนี้รายละเอียดจริง...ภายในถ้ำแบ่งเป็น 4 ห้อง ระยะทางเดินเค้าว่าประมาณ 3 กิโลเมตร (ไปกลับ) มีหินงอกหินย้อยมากมาย เดินขึ้นบันได ลงบันได เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปดูจนสุดถึงห้องที่ 4 แล้วก็ย้อนกลับมา รูปล่างซ้ายดูแล้วจะเหมือนพระสังกัจจายน์ เพดานถ้ำจะมีน้ำตกลงมา เค้าก็เล่าว่าเป็นพระสังกัจจายน์อาบน้ำ เดินเข้าไปด้านในสุดอากาศก็จะอุ่นมาก ถึงกับต้องถอดอุปกรณ์กันหนาวหลายชั้นออกกันทีละชั้นๆ ยังกับปอกเปลือกข้าวโพดยังไงอย่างงั้นเลยทีเดียว
กลับออกมาผจญความหนาว เจอป้าคนนี้ขายมันเผาราคายุติธรรมมากมาย ประมาณ 10 กว่าหัวได้หมดนั่น 10 หยวน คาดว่ากินไม่หมดแน่ก็เลยขอซื้อมาแค่ครึ่งเดียว 6 หัว 5 หยวน มันเผาเมืองจีนแสนจะอร่อย รสชาติหวานสุดๆ กินร้อนๆ ตอนอากาศหนาวๆ แสนจะสุขใจ
หลังจากเอนจอยการกินมันเผาแล้วเราก็ไปกินอาหารเที่ยงแล้วก็ไปร้านขายผ้าห่มไหม อันนี้เคยซื้อมาจากเซี่ยงไฮ้มาใช้แล้ว ชอบมากอยู่ ใช้ได้ ใครได้ไป มีปัจจัยพอเพียงซื้อแบบบางสุดมาใช้ก็โอเคแล้ว ที่นี่มีของแถมเช่นซื้อผ้าห่มนวมแถมปลอกผ้านวม อ้อนมากเข้าก็ได้หมอนอิง ปลอกหมอน ฯลฯ มาด้วย ช้อปฯ แล้วก็ไปต่อ ไปเข้าอุทยานแห่งชาติหวู่หลิงหยวนกัน ด้วยความที่อุทยานฯ มีอาณาเขตกว้างใหญ่มากกินพื้นที่มากมาย (นึกภาพเขาใหญ่ แต่ใหญ่กว่าเขาใหญ่อีกหลายเท่า) เราก็เลยไปดูแค่จุดท่องเที่ยวสำคัญๆ ไม่มาก แต่ใช้เวลาเที่ยว 2 วัน

นักท่องเที่ยวที่เข้าไปเยี่ยมชมจะมีบัตรสมาร์ทการ์ดกันคนละใบ แต่ละใบจะมีการแสกนนิ้วโป้งขวาของแต่ละคนเอาไว้ป้องกันการมั่วนิ่ม บัตรใครบัตรมัน แสกนกันเสร็จก็ขึ้นรถไปดูวิวภาพเขียนสิบลี้กันเป็นที่แรก ที่เรียกว่าภาพเขียนสิบลี้ก็เพราะวิวมันเหมือนภาพวาด ยาวเป็นสิบลี้ นักท่องเที่ยวเช่นเรา ขยันขันแข็ง...นั่งรถรางไฟฟ้าชมวิวกันไป จะให้เดินไปเดินกลับ ฆ่ากันจะดีกว่า วิวภูเขาก็จะดูเหมือนพี่น้องสามคนบ้าง คนแก่แบกตะกร้าเก็บของบนภูเขาบ้าง พ่อแม่ลูกบ้างแล้วแต่จะจินตนาการกันไป


นังรถบัสในอุทยานฯ ไปต่อที่ลำธารแส้ทอง ตอนหน้าร้อนลำธารนี้ก็จะเป็นที่ออกกำลังกายของชาวจีน เดินเหยียบหินก้อนกลมๆ ไปตามลำธาร เราดูแล้วมันก็ธรรมดา (แบบว่าจินตนาการต่ำ ความขี้เกียจสูง ดูไปงั้นๆ อ๋อ นี่เรียกว่าลำธารแส้ทอง โอเคเห็นละ ไปต่อกันเถอะ) เดินต่อไปอีก ซักกิโลแม้ว เดินไปขึ้นรถกระเช้าขึ้นไปภูเขาสิงโต หวงสือจ้าย บนภูเขานอกจากจะมีหิมะที่ตกมาเมื่ออาทิตย์ก่อนกองไว้เละเป็นหย่อมๆ แล้วก็ยังมีลิงภูเขา มีฝนตก หมอก...ตรูขึ้นมาทำไม มองไม่เห็นอะไรเลยนะเฟ้ย หนาวก็หนาว เดินก็ไกล เมื่อยก็เมื่อย 555
กลับไปกินอาหารเย็นที่โรงแรม ก่อนกลับก็แวะไปร้านขายบัวหิมะ สอยเอาบัวหิมะกับน้ำมันงูทาแก้ปวดเมื่อยกันมาได้ นอกจากนี้ยังมีหมอชาวธิเบตที่ใช้วิชาดูฝ่ามือวินิจฉัยโรค ป๊าของธีร์ได้รับการวินิจฉัยโรค หมอใช้พลังชี่กงรีดเอาเลือดคั่งด้านหลังออกมาได้กระปุกนึง เห็นว่าตอนหมอใช้พลังชี่กงจะรู้สึกเหมือนโดนไฟช๊อต หลังจากนั้นหมอก็จะพยายามให้เรากินยาอีกหลายเดือน บางคนก็จะมีค่ายาหลายหมื่น บางคนก็ถึงกับเป็นแสน พอบอกหมอไปว่าไม่ซื้อ ไม่มีเงิน (โว้ย) หมอก็จะพยายามเกลี้ยกล่อมถึงเรื่องสุขภาพ บลา บลา บลา ใจอ่อนก็จะเสียเงินมาก ใจแข็งก็เสียน้อย หรือไม่เสียเงินเลย 555

กลับไปกินข้าวเย็นที่โรงแรม ครอบครัวเล็กๆ ของเราขอผ่านไม่ไปดูโชว์เนื่องจากเมื่อยแล้วก็เหนื่อย ธีร์ผู้ซึ่งสะบักสะบอมกับการเดินทางเท่าเทียมกับผู้ใหญ่ทุกชีวิตได้ยินว่าดูโชว์ถึงกับหูผึ่ง ธีร์จะไปดูโชว์ หม่าม้าบอกไม่ต้องไปก็ได้ลูก มันไม่มีมีช้าง ม้า อะไรให้ดูหรอก ไปนอนเหอะ....ทำลืมๆ ถูกหลอก แต่นอนไม่หลับไปซะอีกนั่น กว่าจะหลับได้ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน

วันที่ 24 มีนาคม 2554
วิวจากห้องพัก....
กลับเข้าไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติหวู่หลิงหยวนกันต่ออีก 1 วัน วันนี้อากาศดีกว่าวันวาน ท้องฟ้าเปิด ฝนไม่ตก ธีร์ตื่นมาอาบน้ำเสร็จระหว่างแต่งตัวตั้งคำถามกับป๊าว่า ใครชวนเรามาเที่ยวที่นี่กันเนี่ย.....กินอาหารเช้าแล้ว 8 โมงเช้าเราก็นั่งรถบัสของเราไปต่อของอุทยานไปต่อรถกระเช้าไปภูเขาเทียนจื่อซาน หรือภูเขาเจ้าฟ้า เดิน เดิน เดิน ไปสวนสาธารณะจอมพลเฮ่อหลง ธีร์ก็ง่วงนอน นั่งรถไปตรงไหนอุ่นๆ หน่อยธีร์ก็หลับ หลับมากเข้าปลุกไม่ตื่นก็ต้องมีร่างทรงคอยแบก อุ้มกันไป รู้สึกเศร้าที่ลืมรถเข็นไว้ที่บ้านซะงั้นทั้งๆ ที่เตรียมไว้ซะดิบดี ชิส์

จากยอดเขาเราก็ลงลิฟต์แก้ว ใช้เวลาลงลิฟต์แค่ 1.58นาที ไม่มีอาการวูบวาบอะไรทั้งนั้นเพราะเราอยู่ข้างหลัง มองไม่เห็นวิวบ้าอะไรเลย (เชอะ) ลงมาด้านล่าง ต่อรถของอุทยานกลับ
ก่อนกลับโรงแรมของจริง แวะร้านขายชา ชิมชากันบ้างอะไรบ้างก่อนที่เค้าจะปล่อยเราไปเดินเล่นช้อปปิ้งในตลาดเล็กๆ
อากาศหนาว เราก็เดินดูตลาดกัน ซื้อขนมปังมาชิมบ้าง เข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตซื้อของกินบ้าง ก็สนุกดี รูปล่างซ้ายสุดเป็นตะกร้าอุ้มเด็กของคนจีน ไกด์บอกว่าราคาไม่ถึง 300 บาทมั้ง น่าจะนั่งสบาย ภูมิปัญญาชาวจีน
และเนื่องจากในห้องไม่มีตู้เย็น ป๊าธีร์ผู้ชื่นชอบโค้กเย็นๆ ก็เลยต้องเอาโค้กไปไว้ที่ระเบียงห้อง...ตู้เย็นธรรมชาติอันใหญ่โตของเรา 555
อ้อ ลืมบอกไป จางเจียเจี้ยนี่เป็นภูเขาที่หนังเรื่อง avatar เอาวิวไปทำคอมพิวเตอร์กราฟฟิคให้เป็นฉากในหนังน่ะ...ใครจะไป เตรียมหางไว้ไปเชื่อมต่อกับนกยักษ์ด้วยล่ะ 555

2 comments:

กู๋คิม said...

เด็กแนวเท่านั้น แต่ดีแล้วที่ทริปนี้ งอแงน้อย เหอ เหอ เหอ

Anonymous said...

Thee likes tea ...Have a few cups hahaha