Wednesday, December 23, 2009

HK-Day4

20 ธันวาคม 2552
วันสุดท้ายของการเดินทาง...

ข้อเสียอย่างนึงของการเดินทางไปเที่ยวเมืองหนาวคือ เราพยายามประหยัดเนื้อที่ในกระเป๋าเดินทางด้วยการเอาเสื้อกันหนาวไปแค่ตัวเดียว...แล้วดูซิดู ถ่ายรูปออกมา ชุดเดิมๆ มันทู๊กวัน....คราวหน้าเราต้องเอา walk-in closet ไปด้วย (พูดจามุ่งมั่น ทำอย่างกับว่าไอ้ walk-in closet มีจริง)

เนื่องจากป๊าไป built กงไว้ว่ามาฮ่องกงทั้งทีไม่ไปกินติ่มซำกันได้ไง งานเลยเข้ากันแต่เช้า เราจะไปกินติ่มซำกัน พอหม่าม้าบ่นกะป๊า ป๊ามีหน้ามาพูดว่า ก็บอกไปงั้นแหละ ชั้นเฉยๆ ได้กินที่ดิสนีย์แลนด์แล้วไง....หนอยๆ

ตามลายแทงที่พิมพ์ไป เค้าบอกว่าร้านนี้เจ๋ง ตามไปชิมซะหน่อย ลายแทงบอกให้ไปก่อน 10 โมงเช้าเพราะราคาจะแพงขึ้นหลัง 10 โมง มะงุมมะงาหราจากสถานีรถไฟ ถามเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ก็ดันพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แถมหยิบโพยเราไปดูซะอีกแน่ะ โพยภาษาไทย จะอ่านออกมั้ยเล่า เดินวนถามไปถามมา อาแปะคนสุดท้ายส่งภาษาจีนกลางบอกมาว่า เดินออกจากโรงแรมพรูเดนเชี่ยลที่ยืนกันอยู่ออกไปนอกถนน แล้วค่อยขึ้นลิฟต์ (นี่แหละ เค้าเรียกภาษาจีนกลางว่าอันหยังหว่า) ไปที่ร้านอาหาร Golden Dynasty ชั้น 3 นะนังหนู นี่คือร้านติ่มซำที่เราไปกินกัน
หยิบแผ่นพับบนโต๊ะมา จัดแจงเขียนจำนวนที่จะสั่งไป รออีกชาติเศษ อาหารมาประมาณนี้
เหมือนกับว่าจะไม่อิ่ม คิดว่าสั่งเพิ่มไปอีก 4 เข่ง ขนมจีบ 2 ซาลาเปา 2 งงๆ ได้กลับมา 6 เข่ง ได้ซาลาเปาหมูแดงมาอีก 2 ซะงั้น เค้าพลาดไปแล้นนนนน
ค่าเสียหายกินกันผู้ใหญ่ 8 คน เด็ก 2 คน ยังน้อยกว่าตอนไปกินที่ดิสนีย์แลนด์ซะอีก นี่แหละหนา Disney Magic 555
อิ่มหนำกับอาหารเช้าแล้ว ตอนแรกคิดว่าจะส่งกงกะม่าไปเที่ยว Repulse Bay ไหว้เจ้าแม่กวนอิม ไปๆ มาๆ ทุกคนมุ่งหน้าสู่ Ocean Park ร่วมกัน
ถึง Ocean Park มุ่งมั่นจะไปดูโชว์ปลาโลมามาก มากจนคิดว่า หรือเรานี่เองแหละที่อยากไปดูรำลึกความหลังฝังหุ่น เอ้ย! ฝังใจสมัยเด็กๆ ที่ชื่นชอบ555 ปรากฏว่าโชว์ปลาโลมาจบไปแล้วซะงั้น มีอีกทีบ่าย 2 โมง
โมอิ๊บอกธีร์ว่าให้ทำท่าหนาวถ่ายรูปซะหน่อย สมธีร์จัดให้ อนาคตน่าจะได้รางวัล fake ยอดเยี่ยม
สองหนุ่มดูแผนที่ หา clue จะไปแข่ง amazing race กันอีกแล้ว
หม่าม้าปรี่เข้าไปนั่งข้างนางเงือก ตอนแรกธีร์ทำท่าลังเลใจ เขินๆ ไปๆ มาๆ กระแซะตัวไปนั่งข้างเค้า แถมชู 2 นิ้วด้วยซะงั้น
สรุปว่าอย่างแรกที่เราได้เดินเข้าไปดูกันอย่างจริงจังก็คือ A-Toll Reef ซึ่งเป็น aquarium มีปลาในตู้ว่ายไปว่ายมา เหมือนกับที่พารากอน ส่วนธีร์ก็ไปเก๊กท่าถ่ายรูปกับฟันปลอมปลาฉลาม
มีรูปนี้ด้วย...เก๋ไก๋ชไนเดอร์ใช่ย่อย
ปลาหมึกหน้าตาง่วงนอน
ฝูงปลาว่ายวน
แล้วเราก็ไปดู Sea Jelly Spectacular กันต่อ อันนี้หม่าม้าชอบมาก ดูเป็นสัตว์อารมณ์ดี แดนซ์ตามเสียมเพลงได้ด้วย (คิดไปเอง) แต่เด็กๆ ดูเหมือนจะกลัว เร่งให้เดินออกเหอะซะงั้น
เดินดูโน่นดูนี่ไป อ้าวบ่ายโมงครึ่งซะแล้ว เราก็เลยไปจองที่นั่งรอดูโชว์ปลาโลมา สิงโตทะเล หม่าม้าบอกธีร์ว่าเค้ามีโชว์ปลาวาฬด้วย ตอนเด็กๆ ที่เคยมาดูมีปลาวาฬเพชรฆาตด้วยนะเออ
เด็กๆ ชอบใจกันมากกับโชว์ปลาโลมากับสิงโตทะเล แต่กลับไม่มีปลาวาฬซะงั้น หม่าม้าก็ตอบเด็กๆ ไม่ได้เพราะอะไรถึงไม่มี
พอดูจบ ธีร์ก็เรียกหาอี๊บีที่นั่งห่างกันไม่ขาดปาก พอเจอหน้าก็บอกอี๊บีว่า "ขอโทษนะอี๊บี เค้าไม่มีโชว์ปลาฉลามแล้วล่ะ" ถ้าหม่าม้าเป็นอี๊บี หม่าม้าจะตอบธีร์ไปว่า "ขอโทษนะธีร์ อี๊บีเคยเห็นปลาวาฬแล้วล่ะ" 555

จบโชว์ นั่งกระเช้าลงไปด้านล่าง ไปดู Giant Panda Adventure ตามคำเรียกร้องของเฮียปรานต์
ในโดมขนาดใหญ่ เค้าจัดแสดงแพนด้าแดง
หมีแพนด้า...ไหนบอกว่าเป็น Giant Panda Adventure แพนด้าหลับตลอดกาล...
จบจากการดูแพนด้าก็ไปดูปลาทอง แล้วก็มุ่งหน้าไปช้อปปิ้งกันก่อนไปสนามบิน
ปรากฎว่าสนามบินฮ่องกงใหญ่มาก ถามเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์เช็คอินบอกว่าต้องใช้เวลาประมาณ 25 นาที ต่อรถไฟใต้ดิน 2 ต่อ กว่าจะไปถึง Gate 44 อุแม่เจ้า คนผ่านตม. ล้านแปด ไปถึง Gate มีเวลาหาอาหารกินอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง รวมกับเดินดูของมลังเมลืองล่อตาล่อใจล้านแปด ประตูเปิดแล้ว หันไปสบตาเจ้าหน้าที่ ถามว่า Can we bring Starbucks on board? เจ้าหน้าที่บอกว่า Yes, you can. ดีใจน้ำตาไหลพราก ป๊าไปสอยมาให้ 1 แก้ว
ไฟลท์เต็มมาก ดีเลย์เล็กน้อย ในที่สุดเฮียปรานต์ก็หลับไป ส่วนธีร์ยังมีอารมณ์โพสต์ท่าถ่ายรูป
ในที่สุดเราก็เดินทางกลับถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพ และเหนื่อยอ่อน ขอบคุณกงและม่าที่สนับสนุนการเดินทางในครั้งนี้เป็นอย่างดี หวังว่าเราจะมีโอกาสเดินทางเช่นนี้อีกในเร็วๆ นี้ 555

HK-Day 3

19 ธันวาคม 2552
ตามแผนการของเรา วันนี้เราจะไปเที่ยวมาเก๊ากัน ออกจากโรงแรม 8 โมงเช้า กองทัพเดินด้วยท้อง ต้องไปหาอะไรกินกันก่อน...กงผู้ซึ่งตื่นมาตั้งแต่ตี 2 ครึ่ง เพราะม่าดูนาฬิกากลับฝั่ง บอกกงว่า 7 โมงครึ่งแล้ว เดินมุ่งหน้าไป บอกว่าไปกินร้านนี้...
ระหว่างทาง เจอศิลปะข้างทางดูสวยงาม ถ่ายรูปมาไว้เป็นที่ระลึกถึงร้านอาหาร ร้านนี้คนฮ่องกงกินกันเยอะเหมือนกัน มีขายหลายอย่างพวกขนมปัง บะหมี่ ก๋วยเตี๋ยว ดูเมนูแล้วเลือกกินบะหมี่เกี๊ยวกุ้ง อาหารมาตรฐานคงรสชาติดีเฮียปรานต์เลือกได้เส้นสีขาวๆ กับลูกชิ้นสารพัด ซึ่งม่าที่กินเหมือนกันบอกว่าเป็นเหมือนเส้นขนมจีน ภาษาอังกฤษบอกว่า Vermicelli คงเป็นประเภทวุ้นเส้น....มั่วดีมะ 555

ป๊าของธีร์ชิมแล้วบอกว่าของเฮียปรานต์อร่อยกว่าบะหมี่เกี๊ยวกุ้ง
กินอาหารเช้าเรียบร้อย เด็กๆ ผู้มีชีวิตรอดได้ด้วยนมใน 7-11 และเฟรนช์ฟรายด์ของแมคโดนัลด์ก็ไปถ่ายรูปกันที่ K11 ผู้ใหญ่ก็ไปเข้าห้องน้ำ ถ่ายรูปมากับสัตว์หน้าตาประหลาดๆ แบบนี้...
พลพรรคพร้อม...ออกเดินทางไปขึ้นเรือเฟอร์รี่ข้ามไปฝั่งมาเก๊าได้
ไปถึงท่าเรือเฟอร์รี่ฮ่องกง-มาเก๊า ซื้อตั๋วเรือกับเอเย่นต์ขายตั๋ว ได้ราคาถูกกว่าซื้อหน้าเคาน์เตอร์ของบริษัทเรือเฟอร์รี่ และได้เวลาที่ดีกว่าตั้งเกือบ 3 ชั่วโมง ขึ้น TurboJet ไปมาเก๊ากัน

ประมาณไม่เกิน 1 ชั่วโมง ธีร์ผู้ซึ่งมักจะหลับเสมอ เวลาเราเดินทางผ่านตม. ประเทศใดก็ตาม...ก็ทำตัวตามปกติ หลับให้ข้าราชบริพารแบกหามพาข้ามประเทศ เข้าไปยังมาเก๊า

ข้อมูลที่หามาได้ คนมาเก๊าพูดภาษาอังกฤษกันได้น้อย ต้องพึ่งพาสมุดคำศัพท์ภาษากวางตุ้ง และความรู้ภาษาจีนกลางที่เข้ากรุไปแล้วเป็นหลัก ที่แรกที่เรานั่งรถเมล์ไปเที่ยวกันก็คือวัดอาม่า
วัดอาม่าเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า ตามตำนานเล่าว่าตรงนี้นี่แหละ เป็นจุดที่อาม่า หรือเจ้าแม่ทับทิมนั่งเรือผ่านพายุมาด้วยความปลอดภัย ขึ้นเกาะมาเก๊าตรงจุดนี้เฮียปรานต์ไม่พลาดที่จะไปเสี่ยงเซียมซีของโปรด ได้แผ่นเซียมซีภาษาจีนมาแผ่นนึง....ใครจะแปลให้เฮียปรานต์ฟังกันเนี่ย ส่วนธีร์เพิ่งจะตื่น หน้าตายู่ยี่
อันนี้เป็นกังหันแขวนอยู่เยอะแยะ เดาเอาว่าคงเป็นการขอพรชนิดหนึ่ง....เพราะเห็นมีเขียนป้ายอะไรซักอย่างติดอยู่กับกังหันด้วย
คนฮ่องกงกะมาเก๊าเค้ามีการจุดธูปแบบที่เป็นขดๆ วงๆ ด้วย สีเหลืองๆ ที่อยู่ด้านบนนี่แหละ มีหลายขนาด รู้สึกว่าใหญ่สุดจะจุดได้ 1 เดือน
ปีนเขาขึ้นไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมเสร็จ ลงมาเดินดูรอบๆ ซักนิด ก็พากันยกขบวนขึ้นรถเมล์ไปยังจุดหมายต่อไป ด้านล่างนี่เป็นตู้ไปรษณีย์ ทั้งสี และขนาดได้ใจมากๆ
หลังป้ายรถเมล์เป็นที่จอดรถ มีทรานส์ฟอร์เมอร์สจอดอยู่คันนึง...ไงล่ะ
รถเมล์สาย 10 นั่งกลับไปเซนาโด้ สแควร์
ลงรถแล้วก็มุ่งหน้าไปหาข้าวเที่ยงกินกัน ไปที่ร้านนี้...Chan Kong Kei Casa De Pasto ตามลายแทงที่ได้มา ถึงหน้าร้านปรากฎว่าต้องต่อคิว เพราะเที่ยงพอดี และคนเยอะจัด ได้นั่งแยกกัน 2 โต๊ะอีกตามเคย โต๊ะเราสั่งหมูแดง ไก่ และเป็ด 1 จาน พร้อมกับผัดผัก 1 จาน นั่งกันผู้ใหญ่ 2 คน เด็ก 2 คน ไม่รวมอาเจ็กอาซิ่มที่นั่งกินอยู่ก่อนอีก 2 คน 6 คนเบียดกันในโต๊ะกลมเล็กๆ 1 ตัว
นั่งกินกันวุ่นวาย อาเจ็กกะอาซิ่ม 2 คนนั่นลุกไป อาเจ็กคนใหม่อีกคนมานั่งคนเดียว นั่งฟังเรา 2 คนจัดการกับเด็ก 2 คนซักพัก อาเจ็กก็ทักเป็นภาษาอังกฤษว่ามาจากเมืองไทยเหรอ....คุยกันซักพัก อาเจ็กถามว่า เราไม่ได้สั่งเป็ดย่างมากินหรอกหรือ ร้านนี้เป็ดอร่อยมาก ไม่เหม็นสาบเลยซักนิด...ได้คำตอบจากเราไปว่า สั่งแล้ว แต่เป็ดหมดไปแล้ว ฝีมือการทำลายล้างของเด็ก 2 คน ผู้ใหญ่ได้ชิมเป็ดกันคนละชิ้น และมันก็อร่อยจริงๆ ซะด้วยแหละ ใครไปมาเก๊าอย่าลืมไปชิมเป็ดร้านนี้เด็ดขาด และถ้าจะให้ดี ซื้อมาฝากด้วย จะขอบคุณอย่างยิ่ง 555 (ใครจะไป ถามทางมาได้ เราจำทางแม่น)

กินอาหารเสร็จ กระเพาะขนมหวานเริ่มทำงาน ใกล้ๆ กันมีร้านทาร์ตไข่ชื่อดังอยู่ร้านนึง สังเกตจากแถวหน้าร้านได้ ยาวมาก
เด็กๆ นั่งรอขนม
ผู้ใหญ่ก็รอขนม
ผู้ใหญ่คนนี้ก็รอด้วยใจจดจ่อเหมือนกัน
ในที่สุดทาร์ตไข่อันลือชื่อของมาเก๊าก็มาอยู่ในมือเรา....
เด็กๆ ชิมกันคนละนิดเพราะมันยังร้อนอยู่
กินกันเสร็จก็มีการออกกำลังกายซ้อมเด็ก
เดินกันต่อไปอีกนิดก็ถึงเซนาโด้ สแควร์ เป็นจัตุรัสกลางเมือง คนเยอะมาก ใกล้คริสมาสต์ แถมเป็นวันเสาร์อีกต่างหาก ธีร์กะปรานต์ขึ้นไปถ่ายรูปบนเวทีกัน
น้ำพุกลางลานถูกแปลงร่างให้กลายเป็นต้นคริสมาสต์ มีซานต้า ตุ๊กตาหิมะ และกล่องของขวัญรายล้อม


ข้างๆ ลานน้ำพุมีร้านขายเกาลัดคั่ว...ที่คั่วเกาลัดหน้าตาเหมือนโม่ผสมปูน 555
เดินฝ่าฝูงชนตรงไปเรื่อยๆ ก็จะถึงโบสถ์ St'Dominic การท่องเที่ยวมาเก๊าบอกว่าโบสถ์นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นโบสถ์ที่มีศิลปกรรมทางศาสนาที่งดงามที่สุด เป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างสไตล์บารอคและโคโลเนี่ยล...ซึ่งก็ดูสวยจริง ปูนปั้นด้านนอกดูสวยงามอ่อนช้อยมาก
เข้าไปวนดู 1 รอบ พร้อมกับเป็นไกด์เด็กจำเป็น อธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ให้ธีร์กับปรานต์ฟังอย่างคร่าวๆ เดินออกมารอพลพรรคถ่ายรูปกับประตู กับฝูงชนไปตามเรื่อง ถูกธีร์ดึงให้เข้าไปเล่าเรื่องให้ฟังอีกรอบ....ขอน้ำเปล่าหน่อยค้าบบบ

ออกจากโบสถ์ เดินตามป้ายบอกทาง มุ่งหน้าไปยัง Ruin of St'Paul's สัญลักษณ์ของมาเก๊า ระหว่างทางมีร้านรวงขายขนม ของกิน ของฝากสารพัด ไม่ได้ชิมซักอย่าง คนเยอะ เข้าไม่ถึง พ่วงลูกปูไป 2 หน่อ แต่ไหงธีร์ได้ชิมขนมฟระ
แล้วก็มาถึงจุดหมายจนได้
เดินวนดูรอบๆ เด็กๆ ถูกยิงปุๆ โดยกู๋คิมกะกิ๋มเจี๊ยบ
แล้วก็เดินไปดู Monte Fort กัน เด็กๆ บอกจะปีนขึ้นไปดูปืนใหญ่!!! มีม่า กะกู๋คิมตามขึ้นไป นอกนั้นขอรออยู่ทรีนเขา

ปีนเขาขึ้นไปดูปืนใหญ่ ปรานต์บอกจะเข้าห้องน้ำ ส่งปรานต์ออกไปสบทบกับม่า หม่าม้าออกมา อ้าว หายกันไปไหนหมด วิ่งลงเขาไปดูซิว่าลงไปรึยัง ยังไม่ลง วิ่งกลับขึ้นเขาไปใหม่ เจอทุกคนกำลังจะลงเขา ได้ความว่าเด็กๆ ขึ้นไปดูด้านบนต่อ 2 ศรีพี่น้องช่วยกันจินตนาการว่าหมุนและปืนใหญ่ยิงถล่มตึกโรงแรมแกรนด์ลิสบัวถล่มไปเรียบร้อยแล้ว....

สงสัยว่าจะใช้กำลังมากเกิ๊น....ลงมา 2 หน่อก็เติมพลังทาร์ตไข่กันคนละชิ้น
คราวนี้กินกันเองได้เพราะเย็นแล้ว เลียมุมปากเล็กน้อย
เดินลงไปเรื่อยๆ กลับไปป้ายรถเมล์ จะนั่งรถกลับไปท่าเรือเพื่อขึ้น Free Shuttle Bus ไป The Venetian
ขึ้นรถเมล์ผิดสายหลงกันไปเป็นหมู่คณะ สุดท้ายก็ได้ขึ้นรถฟรีสมใจ
ด้านในเวเนเชี่ยน มีทั้งฟ้าทั้งน้ำและเรือกอนโดลา หรูหราอลังการมาก
เดินไปด้วยความเหนื่อยอ่อน เจอต้นคริสมาสต์ส่องแสงแวววาว วิ่งเข้าไปถ่ายรูป
จากที่ว่าจะไปกินโจ๊กปูแสนอร่อยตามลายแทง สุดท้ายทุกคนสรุปว่า กินแมคโดนัลด์กันนี่แหละ เหนื่อยเสียเหลือเกิน กินเสร็จแล้วก็นั่งรถฟรีไปลงท่าเรือ ขึ้น CotaiJet กลับฮ่องกงกันเถิด
ก่อนถึงท่าเรือ ธีร์ประกาศกร้าวว่าต้องการเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวเป็นการด่วน ทำให้หม่าม้าต้องวิ่งไปตามทางที่ป๊าชี้ว่าห้องน้ำไปทางโน้น กลับมาเห็นป้ายบอกว่า "Area with free wifi" ทุกคนทำตาแวววาวและหยิบ iPhone ของแต่ละคนขึ้นมาจิ้มๆ กันใหญ่ เป็นภาพที่น่าถ่ายรูปไว้มาก แต่ไม่มีรูป เพราะไม่มีใครคิดจะถ่ายรูป 555

กลับถึงฮ่องกงด้วยความเหนื่อยล้า และเมาเรือ CotaiJet ลำใหญ่และดูดีกว่า TurboJet มาก แต่สงสัยพวกเรานั่งด้านหลังเกินไปเลยเมากันหมดซะงั้น แล้วก็หมดไปอีกวัน....