วันที่ 25 มีนาคม 2554
เมืองโบราณเฟิ่งหวาง คำว่าเฟิ่งหวางภาษาอังกฤษก็คงแปลว่านกฟีนิกซ์นั่นแหละ เป็นหมู่บ้านโบราณอายุเป็นร้อยปี ตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงและชิง เป็นหมู่บ้านของชาวถู่เจีย แปลอีกทีก็คือชาวแม้ว (ไกด์เล่าว่าเรื่องยาสั่งของชาวแม้วนั้นยังคงมีอยู่ด้วยนะเออ)
คืนที่ผ่านมาเรานอนพักอยู่ที่โรงแรมซึ่งก็อยู่ข้างๆ หมู่บ้านนี่เอง ทำให้การเดินทางไปเยี่ยมชมหมู่บ้านง่ายดายยิ่งนัก เดินเข้าปากทางก็เห็นปู่คนนี้ออกกำลังกาย ปกติในปักกิ่งจะเห็นเยอะกว่านี้ตามสวนสาธารณะ วิธีออกกำลังกายของเค้าก็คือใช้พู่กันยักษ์เขียนตัวอักษรจีนบนพื้นถนน...เก๋ซะ
ในเมืองตอนกลางวัน ซึ่งปัจจุบันก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวก็เป็นเหมือนตลาด มีของที่ระทึก เอ้ย...ที่ระลึกขายกันกลาดเกลื่อน ของขึ้นชื่อก็คือ....ตังเมขิง มีขายกันเป็นสิบร้าน ไกด์บอกว่าแต่ละร้านก็รสชาดต่างกัน แล้วแต่สูตรประจำตระกูล เราเลือกร้านที่ไกด์แนะนำว่าสะอาด รสชาดดีโปรแกรมของวันนี้คือล่องเรือในแม่น้ำ ชมบ้านเรือนริมน้ำที่ยังคงเหมือนสมัยเมื่อร้อยปีก่อน เป็นบ้านเสาสูง เหมือนบ้านไทยสมัยก่อนที่ใต้ถุนเรือนจะเลี้ยงสัตว์กัน แต่เดี๋ยวนี้ก็เห็นเสาอยู่แต่ก็ปิดทำห้องกันหมด นอกจากล่องเรือแล้วเราก็ไปเยี่ยมชมบ้านของเสิ่นฉงเหวิน เค้าเป็นนักเขียน นักประวัติศาสตร์แล้วก็นักการศึกษาที่มีชื่อเสียงมากของคนจีนที่มีพื้นเพเป็นชาวเฟิ่งหวางนี่แหละ
ล่องเรือเสร็จแล้วไกด์ก็ปล่อยให้เราเดินเล่นอิสระ ซื้อของกันตามอัธยาศัย
เนื่องจากการเดินทางจากเมืองจางเจียเจี้ยมาถึงเมืองเฟิ่งหวางเมื่อวานใช้เวลานาน 5 ชั่วโมง โดยระยะทาง 1.30ชั่วโมงสุดท้ายเป็นทาง 2 เลน ถนนแย่มากเต็มไปด้วยหลุมและบ่อ ทำให้เมารถกันเป็นทิวแถว ของกินที่ว่าน่าลองก็ลองไม่ได้มาก เดินไปเดินมาเริ่มหิว ชิมซักหน่อย อันที่หม่าม้าชิมไปก็คือเต้าหู้จี่กับกระทะ โรยด้วยเครื่องเทศแล้วก็พริก รสชาดก็เค็มๆ มีกลิ่นยี่หร่าขึ้นจมูก ถ้วยนึงก็ 15 บาท ปริมาณพอขำ กินไปครึ่งนึงแล้วนึกได้ว่า ตรูปวดท้อง ท้องอืดนี่หว่า ดีไม่ดีจะท้องเสียเอา พอรู้รสแล้วก็ลงขยะไป 555
บ้านอื่นเค้าไปซื้ออะไรเราไม่รู้ บ้านเราก็เดินตามรอยไกด์นำไปขึ้นเรือ...มุ่งหน้าไปชิมของอร่อยที่เค้าว่า....ปาท่องโก๋ตัวยาวๆ เหมือนที่ฮ่องกง ซื้อมาเป็นปาท่องโก๋สามัคคี ตัวละ 5 บาท กินกัน 7 คน ยกเว้นธีร์ที่ยังเมารถอยู่กินอะไรไม่ลงแถมอ้วกอีกต่างหาก ชิมกันคนละหน่อย หม่าม้าเห็นว่าแป้งนุ่ม ข้างนอกกรอบดี เสียแค่ว่าน้ำมันดำยังกับน้ำมันดิบที่เพิ่งขุดขึ้นมาจากอ่าวเปอร์เซีย ทำให้ปาท่องโก๋ขมๆ ซะงั้น
กินปาท่องโก๋แล้วต่อไปก็ไปร้านขายน้ำถั่วที่ไกด์บอกว่าอร่อย (อีกละ) มีน้ำถั่วดำ ถั่วเขียว ถั่วเหลือง แล้วก็ถั่วลิสง รสชาดที่ชิมแก้วละคำก็คือ มันมิใช่น้ำเต้าหู้ แต่มันคือน้ำถั่วปั่น กร๊ากกกก
คนอื่นมุ่งหน้าไปช้อปปิ้งถ่ายรูป เรา 3 คนพ่อแม่ลูกมุ่งหน้าต่อไปอีกเล็กน้อย ภารกิจของเราคือไปซื้อของเล่นที่ธีร์หมายตาไว้ ตาไวมากมายตอนขาไป เห็นของเล่น plants vs zombies ที่ทำด้วยกระดาษเป็นเหรียญกลมๆ มีตัว plants แล้วก็ zombies ครบถ้วน ซองละ 2.50 บาท ซื้อมา 10 ซองไว้แบ่งปรานต์ด้วย
เดินกลับไปตามเวลานัด กินอาหารเที่ยง กินยาแก้เมารถ แล้วก็เดินทางมหาโหดไปตามถนน 3 ฉี่ คือแวะฉี่ทุก 2 ชั่วโมง 1.30ชั่วโมงแรกก็ผ่านไอ้ถนนขี่ม้า (ตามคำไกด์) ถนนเดิมที่เพิ่งมาเมื่อวาน มุ่งหน้าไปเมืองฉางซา สิริรวมเวลาเดินทาง 7 ชั่วโมงฉางซาเป็นเมืองหลวงของมณฑลหูหนาน หลังจากไปอยู่ป่ากับหมู่บ้านในดอยมาซะนาน ได้เห็นแสงสี และตึกสูงในที่สุด ป้าแก่ๆ หลังรถบ่นอาหารเป็นพิษ และเมารถกันมาก ไกด์ให้เวลาไปเดินช้อปปิ้ง 1 ชั่วโมง แถมรถก็เข้าไปใกล้ถนนช้อปปิ้งไม่ได้ ต้องเดินอีก 15 นาทีจากจุดที่รถจอดไปช้อปปิ้ง
บ้านเรามุ่งมั่นจะไป wal-mart ไปซื้อพวกขนมเล็กน้อยเป็นของฝาก ระหว่างทางก็เจอ "ถางหูหลู" หรือผลไม้เสียบไม้ชุบน้ำตาล เห็นกันเกลื่อนกลาดที่ปักกิ่งตอนหนาวๆ ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูหรือยังไงไม่แน่ใจ สตรอเบอรี่ล้วนไม้ละ 40 บาท เมื่อก่อนซื้อได้ในราคา 25 บาทขาดตัว
บ้านเรามุ่งมั่นจะไป wal-mart ไปซื้อพวกขนมเล็กน้อยเป็นของฝาก ระหว่างทางก็เจอ "ถางหูหลู" หรือผลไม้เสียบไม้ชุบน้ำตาล เห็นกันเกลื่อนกลาดที่ปักกิ่งตอนหนาวๆ ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูหรือยังไงไม่แน่ใจ สตรอเบอรี่ล้วนไม้ละ 40 บาท เมื่อก่อนซื้อได้ในราคา 25 บาทขาดตัว
เดินไปถึงแมคโดนัลด์ซื้ออาหารเติมพลังให้ธีร์ที่ไม่ยอมกินอะไร แล้วก็ไป wal-mart แค่เดินเข้าไปเห็นแถวที่ต่อคิวจ่ายเงินก็เลิกซื้อ ดูเวลาแล้วอีกแค่ 15 นาทีถึงเวลานัด ตรูยังไม่ได้ซื้ออะไรเลย คิวก็ยาว เดินกลับก็แล้วกัน เดินกลับไปถึงจุดนัดพบเพื่อพบว่า ป้าที่บ่นมากมายว่าจะขอกลับโรงแรมก่อนเนื่องจากอาหารเป็นพิษ เมารถ ไปไม่ไหว อยากนอน พวกป้าไปนั่งจิบชารออยู่แถวนั้น ฮ่วย!!!
โรงแรมที่ไปพักวันนี้เป็นโรงแรมระดับ 5เอ ห้องนอนกว้างขวางสไตล์ยุโรป เป็นเมืองประมาณเมืองทองธานี มีทุกอย่างอยู่ในเกาะนั้น สนามกอล์ฟ โรงเรียน ซุปเปอร์มาร์เก็ต สนามเทนนิส บลา บลา บลา ถึงโรงแรมก็ดึกมองอะไรไม่เห็น เหนื่อยก็เหนื่อย ลูกชายก็สลบไปเยี่ยงนี้
วันสุดท้ายของการท่องเที่ยว วันนี้จะไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์หม่าหวังตุย ของที่ขึ้นชื่อของพิพิธภัณฑ์ก็คือ "ศพ" กับ "ชุดผ้าไหม"
พิพิธภัณฑ์นี้เป็นที่เก็บรักษาของที่ขุดค้นพบจากสุสานของป้าคนรวยอายุ 2000 กว่าปีที่ชื่อ "ซือจวย" ตายตอนอายุประมาณ 50 ปี ในฤดูร้อน สามีและลูกชายไม่ได้พบด้วยกัน ที่รู้ว่าตายตอนฤดูร้อนเพราะในกระเพาะอาหารพบเมล็ดทานตะวัน เมล็ดแตงโม ซึ่งเป็นอาหารฤดูร้อน ป้าตายเพราะเม็ดๆ ที่กินไปติดคอ สำลักตาย!!!
ศพของป้าขึ้นชื่อลือชาก็เพราะศพที่ค้นพบนั้นยังมีเนื้อ ข้อต่อยังงอได้ เส้นเลือดไม่ตีบ มีเล็บด้วย ไม่เรียกว่ามัมมี่เพราะไม่ได้แห้งแข็ง แต่เป็นศพชื้นมากกว่า
มีหุ่นขี้ผึ้งจำลองว่าหน้าตาของป้าตอนมีชีวิตอยู่จะหน้าตาอย่างไร และอีกอย่างก็คือมีเสื้อคลุมผ้าไหมของป้ามีน้ำหนักไม่เกิน 50 กรัม (กี่กรัมจำไม่ได้แน่) ไกด์เล่าว่า ถึงแม้ว่าวิวัฒนาการในปัจจุบันจะก้าวหน้ามากมาย แต่ก็ยังไม่สามารถทอผ้าไหมให้มีน้ำหนักน้อยเท่าของป้าได้ หน้าตาเสื้อคลุมที่ยังคงสภาพสมบูรณ์เกือบ 100 ปูเซ็งก็คือรูปล่างซ้าย
สุสานที่ค้นพบกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่มาก สิ่งของที่ค้นพบในสุสานยังคงสภาพดี เนื่องจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น มีดินขาวเป็นชั้นหนาอยู่ด้านนอกโลงศพรักษาไม่ให้แมลงเข้ามาได้ ฯลฯ มีรูปหม้อดินเผาที่ใส่แกงจืดรากบัวด้วย ตอนเปิดขึ้นมา "เขาเล่าว่า" ยังมีกลิ่นหอมอยู่เลย แต่พอเวลาผ่านไปไม่ถึงนาทีมันก็สิ้นสภาพไป แต่มีรูปที่ถ่ายไว้ได้มาโชว์ให้เห็นรากบัวเป็นชิ้นๆ เลยทีเดียว รูปด้านล่างแสดงการขุดค้น และสภาพโลงของป้าเค้า โลงจะอยู่ตรงกลาง ด้านข้างก็มีการใส่ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น ภาชนะจักสาน ภาชนะดินเผา ตุ๊กตาของเล่น ตุ๊กตาคนรับใช้ ตุ๊กตานักดนตรี เมล็ดพืช หนังสือ เครื่องใช้ต่างๆ นานา
อันนี้คือสิ่งที่หม่าม้าประทับใจมาก ไกด์บอกว่าเป็นโมเดลจำลองระบบสุริยจักรวาลที่อ่านมาจากหนังสือในสุสานของป้าเค้า แสดงให้เห็นว่าชาวจีนมีความรู้เกี่ยวกับระบบสุริยจักรวาลอย่างไร กลมๆ ขาวๆ ตรงกลางเป็นพระอาทิตย์ ถัดไปด้านซ้ายมีกลมๆ เล็กๆ สีเขียวๆ เป็นโลก ข้างๆ โลกจะมีดวงจันทร์ แล้วก็มีดาวต่างๆ เกือบครบ เนื่องจากหม่าม้าอ่านภาษาจีนไม่ออก ก็ไม่ไม่รู้ว่าจริงหรือ แต่ก็คงมีส่วนของความจริงแหละ ล้ำจริงๆ ชาวจีน
กลุ่มรูปด้านล่างนี่ ซ้าย-บน แสดงให้เห็นว่าหลุมศพป้าลึกแค่ไหน ขวาบนเป็นเก้าอี้ของป้าเค้า แคบมากประมาณแค่คืบเดียว เคยฟังสัมภาษณ์อ.สุวินัยบอกว่า เก้าอี้จีนจะมีแค่นี้ แค่วางก้น ไม่เหมือนเก้าอี้ปัจจุบัน นั่งแล้วมันจะทับเส้นใต้ต้นขา ทำให้เส้นยึดอะไรประมาณนี้ ส่วนล่างซ้ายเป็นไม้ที่ประกอบกันเป็นโลงสี่เหลี่ยมที่เห็นข้างบนที่ทำเป็นกล่องๆ ไม้ใหญ่มาก ขนาด 6.7ม x 4.8ม. สูง 2.8ม. ไม้หนาซัก 1 ฟุตได้ ต้นไม้ที่ป้าให้เค้าไปตัดมาทำโลงคงอายุเป็นพันปีได้ แถมป้าก็ไม่ได้นอนอยู่ในกล่องไม้นี่นะ มีโลงใส่ป้าอีก 4 ชั้น แต่ละชั้นมีลวดลายวิจิตรมากมาย ถ้าไม่รวยจริงคงทำไม่ได้แบบป้า
สุสานที่ค้นพบกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่มาก สิ่งของที่ค้นพบในสุสานยังคงสภาพดี เนื่องจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น มีดินขาวเป็นชั้นหนาอยู่ด้านนอกโลงศพรักษาไม่ให้แมลงเข้ามาได้ ฯลฯ มีรูปหม้อดินเผาที่ใส่แกงจืดรากบัวด้วย ตอนเปิดขึ้นมา "เขาเล่าว่า" ยังมีกลิ่นหอมอยู่เลย แต่พอเวลาผ่านไปไม่ถึงนาทีมันก็สิ้นสภาพไป แต่มีรูปที่ถ่ายไว้ได้มาโชว์ให้เห็นรากบัวเป็นชิ้นๆ เลยทีเดียว รูปด้านล่างแสดงการขุดค้น และสภาพโลงของป้าเค้า โลงจะอยู่ตรงกลาง ด้านข้างก็มีการใส่ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น ภาชนะจักสาน ภาชนะดินเผา ตุ๊กตาของเล่น ตุ๊กตาคนรับใช้ ตุ๊กตานักดนตรี เมล็ดพืช หนังสือ เครื่องใช้ต่างๆ นานา
อันนี้คือสิ่งที่หม่าม้าประทับใจมาก ไกด์บอกว่าเป็นโมเดลจำลองระบบสุริยจักรวาลที่อ่านมาจากหนังสือในสุสานของป้าเค้า แสดงให้เห็นว่าชาวจีนมีความรู้เกี่ยวกับระบบสุริยจักรวาลอย่างไร กลมๆ ขาวๆ ตรงกลางเป็นพระอาทิตย์ ถัดไปด้านซ้ายมีกลมๆ เล็กๆ สีเขียวๆ เป็นโลก ข้างๆ โลกจะมีดวงจันทร์ แล้วก็มีดาวต่างๆ เกือบครบ เนื่องจากหม่าม้าอ่านภาษาจีนไม่ออก ก็ไม่ไม่รู้ว่าจริงหรือ แต่ก็คงมีส่วนของความจริงแหละ ล้ำจริงๆ ชาวจีน
กลุ่มรูปด้านล่างนี่ ซ้าย-บน แสดงให้เห็นว่าหลุมศพป้าลึกแค่ไหน ขวาบนเป็นเก้าอี้ของป้าเค้า แคบมากประมาณแค่คืบเดียว เคยฟังสัมภาษณ์อ.สุวินัยบอกว่า เก้าอี้จีนจะมีแค่นี้ แค่วางก้น ไม่เหมือนเก้าอี้ปัจจุบัน นั่งแล้วมันจะทับเส้นใต้ต้นขา ทำให้เส้นยึดอะไรประมาณนี้ ส่วนล่างซ้ายเป็นไม้ที่ประกอบกันเป็นโลงสี่เหลี่ยมที่เห็นข้างบนที่ทำเป็นกล่องๆ ไม้ใหญ่มาก ขนาด 6.7ม x 4.8ม. สูง 2.8ม. ไม้หนาซัก 1 ฟุตได้ ต้นไม้ที่ป้าให้เค้าไปตัดมาทำโลงคงอายุเป็นพันปีได้ แถมป้าก็ไม่ได้นอนอยู่ในกล่องไม้นี่นะ มีโลงใส่ป้าอีก 4 ชั้น แต่ละชั้นมีลวดลายวิจิตรมากมาย ถ้าไม่รวยจริงคงทำไม่ได้แบบป้า
เดินดูจนทั่ว อีกส่วนของพิพิธภัณฑ์ก็จะแสดงเครื่องปั้นดินเผา เครื่องสำริด ฯลฯ น่าสนใจมากมาย เดินดูจนครบออกมา ไกด์บอกว่าเหลือแค่เรา 5 คนสุดท้าย คนอื่นดูเสร็จขึ้นรถกันแล้ว อุเหม่ เดินพิพิธภัณฑ์กันเร็วจริงวุ้ย
จากพิพิธภัณฑ์เราก็มุ่งหน้าไปสถานีรถไฟความเร็วสูงเพื่อขึ้นรถไฟไปกวางเจา มื้อนี้กินแมคโดนัลด์ หม่าม้าไปช่วยรอ+ขนเบอร์เกอร์ไปแจกจ่าย ระหว่าไกด์ไปดูว่าต้องขึ้นรถไฟชานชาลาไหน
จากพิพิธภัณฑ์เราก็มุ่งหน้าไปสถานีรถไฟความเร็วสูงเพื่อขึ้นรถไฟไปกวางเจา มื้อนี้กินแมคโดนัลด์ หม่าม้าไปช่วยรอ+ขนเบอร์เกอร์ไปแจกจ่าย ระหว่าไกด์ไปดูว่าต้องขึ้นรถไฟชานชาลาไหน
กินกันไป รถไฟจะจอดสถานีแค่ไม่เกิน 3 นาที ยังไม่ทันลงบันไดเลื่อนรถไฟก็มาถึงสถานีแล้ว เบอร์เกอร์ในมือก็ถือไปกินไปและเดินไป ลงบันไดมาก็ลากลู่ถูกังกระเป๋าเดินทาง หอบลูกขึ้นรถไฟ เห็นแววว่าจะขึ้นไม่ทันก็วิ่งเข้ารถไฟไปก่อน ไม่ถึงโบกี้ของเราก็เข้าไปก่อน เดี่ยวพลาด ปรากฎว่ามีป้า 2 คนทะลึ่งลงลิฟต์ไปผิดชั้นทำให้เกิดอาการเสียวสันหลังวาบๆ ว่าป้าจะหายไป แต่ในที่สุดทุกคนในคณะทัวร์ก็ขึ้นรถไฟกันได้ครบถ้วน
ความเร็วสูงสุดที่สังเกตคือ 340 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามข้อมูลบอกว่าวิ่งได้เร็วสุด 352 กม/ชม จากฉางซาถึงกวางเจาใช้เวลา 2 ชั่วโมง สถานีรถไฟใช้ระบบเดียวกับสนามบิน แสกนกระเป๋าเดินทางทุกใบ ไม่อนุญาตให้นำของมีคมทุกชนิดขึ้นรถไฟ
ถึงสถานีกวางเจา ลงรถไฟแล้วเดินมาถึงทางออกทุกคนแทบสลบ เราต้องลากกระเป๋าเดินทางลงบันได 3 พัก ช่วยกันผ่านมาอย่างทุลักทุเล เดินต่อมาอีกหน่อยก็พบว่า ต้องลากกระเป๋าขึ้นบันไดไปอีกเท่ากับที่เดินลงมา 555
ถึงสถานีกวางเจา ลงรถไฟแล้วเดินมาถึงทางออกทุกคนแทบสลบ เราต้องลากกระเป๋าเดินทางลงบันได 3 พัก ช่วยกันผ่านมาอย่างทุลักทุเล เดินต่อมาอีกหน่อยก็พบว่า ต้องลากกระเป๋าขึ้นบันไดไปอีกเท่ากับที่เดินลงมา 555
วันนี้เดินทางทั้งวัน ออกจากสถานีรถไฟก็ต่อรถบัสไปสนามบิน กินข้าวที่ร้านอาหารร้านเดิมในวันแรก รอเครื่องบินที่ดีเลย์ไปครึ่งชั่วโมงกลับถึงเมืองไทยตอน 4 ทุ่ม นั่งรถตู้ที่นัดไว้ให้มารับกลับบ้านสายสี่ ลงรถตู้ ขับรถของเราต่อมาที่บ้านหนองดินแดงท่ามกลางสายฝนโปรยปรายและอุณหภูมิไม่แตกต่างจากกวางเจาที่จากมา....ตรูลงเครื่องบินผิดที่รึเปล่าเนี่ย
สรุปว่าทริปที่แสนเหน็ดเหนื่อยกับทั้งการเดินเท้าและการเดินทางของเราก็จบลงในที่สุด คำถามของธีร์ที่ว่า "ใครชวนเรามานี่" ยังขำอยู่ ป๊าของธีร์บอกว่าเมืองจีนน่าประทับใจในความใหญ่โต ความอลังการของสถานที่ แต่ทำไม๊ ทำไมห้องน้ำไม่มีการพัฒนาเลยฟระ ทำให้ทุกคนมัวแต่พะวงถึงแต่ว่าห้องน้ำสะอาดรึเปล่า หม่าม้าเห็นว่าห้องน้ำดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังเหมือนเมื่อ 10 ปีก่อนอยู่ดีนั่นแหละหว่า
ส่วนธีร์ ถามว่าไปเมืองจีนอีกมั้ยจะได้รับคำตอบว่าไม่ไปละ เหนื่อยก็เหนื่อย เมื่อยก็เมื่อย หนาวก็หนาว 555
2 comments:
อ้าว ไม่ไปแล้วเหรอ เห็นทริปต่อไป กงวางเป้าหมายไว้ว่าเป็น กุ้ยหลินนะ สมธีร์ ... ปีหน้าก็คงหกขวบ ... กุ้ยหลินอาจจะเหนื่อยน้อยลงหน่อย :P
ตามธีร์ไปเที่ยวเมืองจีน หม่าม้าเล่าได้ดีมากเหมือนว่าเป็นส่วนหนึ่งในทริปด้วยยังไง ยังงั้นเลยล่ะ
ธีร์โตขึ้นมากมาย ไม่ได้เจอกัน 2 เดือน ตัวโตมั่ก มาก
Post a Comment